Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตํานาน...ผีกองกอย.




กองกอยเป็นชื่อของผีป่าพวกหนึ่ง มีชื่อเสียงอยู่ทากภาคอีสานและทางฝั่งประเทศลาว ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะว่ามันร้อง "กอกกอย" แต่บางแห่งว่าเรียกตามลักษณะของมันคือ มันมีตีนเดียวไปโหนก็เขย่งเกงกอยโป แต่ก็ยังมีความคิดเห็นเพิ่มเติมกันขึ้นมาอีกว่า ผีกองกอยนั้นนอกจากมีเท้าข้างเดียวแล้วเท้าข้างนั้นก็ยังเป็นเท้าปุกอีกด้วย ส่วนไทยทางภาคพายัพ (ภาคตะวันออก) เรียกผีกอกกอยว่า ผีตองเหลือง

ผีกองกอยกองชาวลาวนั้น มีเรื่องเล่าอยู่ 2 เรื่อง
เรื่องหนึ่งเล่าว่า มีชายคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขา มีอาชีพจับปลาในแม่น้ำเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้าน เช้าวันหนึ่งเมื่อเขาไปตรวจดูตาข่ายดักปลาปรากฏว่าไม่มีปลาติดเลย จนกระทั่งตกเย็นเขาก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า เพราะไม่ได้ปลากลับไปแม้สักตัวเดียว เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ไปดูตาข่ายดักปลาอีกเช่นเดิม แต่แล้วผลก็คือไม่ได้ปลาสักตัว เป็นอย่างนี้ซ้ำ ไปซ้ำมา สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับตัวเองยิ่งนัก เขาพยายามที่จะเสาะหาต้นสายปลายเหตุด้วยการเดินดูตาม
ฟื้นทรายในบริเวณนั้นจนทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดแล้วก็ได้พบกับรอยเท้าเล็กๆ ขนาดเท่ากับเท้าเด็กย่ำไปมา เขาจึงได้เดินตามรอยเท้านั้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เขาหยุดอยู่เพียงชั่วครู่เพื่อชั่งใจ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไป ในนั้น แล้วก็ได้พบกับหญิงลาวร่างเล็ก มีเส้นผมสีแดง แต่เท้ากลับไปอยู่ด้านหลัง ซึงต่างจากคนปกติทั่วไป ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้นจะเป็นคนแม้แต่น้อย ใช่แล้ว เขาคิดว่ามันคงเป็นผีกองกอยแน่นอน
เมื่อหล่อนหันมาเห็นเขา เขาก็ถึงกับทรุดตัวอ้อนวอนร้องขอชีวิต ผีกองกอยจึงได้ขอคำสัญญาจากเขาว่า นอกจากจะต้องเชื่อฟังคำของหล่อนแล้ว ยังต้องยอมเป็นสามีของหล่อนอีกด้วย และสิ่งที่เขาจะได้จากการยอมทำตามนั้นก็คือทรัพย์สมบัติต่างๆ มากต่อมากตราบเท่าที่ใจต้องการ
ส่วนหน้าที่ก็แทบจะไม่ต้องคิดคำนึงถึงเรื่องของความลำบาก เพราะมีหน้าทีแค่เฝ้าถ้ำระหว่างที่หล่อนออกไปหาอาหารข้างนอก เขายอมตกลงในที่สุดเพราะคิดไปถึงวันหนึ่งข้างหน้าว่า เขาจะต้องหาทางหนีรอดไปจนได้
หลายวักผ่านไป เขาก็เริ่มสังเกตว่าผีกองกอยนั้นมักพูดจาตรงข้ามกับความเป็นจริงเสมอ หากบอกว่าหล่อนจะหายไปนาน แต่ก็จะกลับมาอย่างเร็ว และเมื่อบอกว่าจะกลับมาเร็วก็หมายความว่าหล่อนจะหายไปอีกนานเลยทีเดียว
เย็นวันหนึ่งผีกองกอยออกจากถ้ำและบอกเขาว่า จะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่งประเดี๋ยวก็กลับ เขาฉุกคิดว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าที่หล่อนจะกลับมา และนี่เป็นโอกาสทองที่เขาจะหนีหล่อนแล้ว คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็เก็บทองใส่ถุงหนีออกจากถ้ำไป
หลังจากที่ชายหนุ่มหนีไปไม่นานนัก ผีกองกอยก็กลับมาและเมื่อเห็นว่าถ้ำว่างเปล่าจึงรีบติดตามเขาไปทันที และด้วยเหตุที่ไม่ใช่คน ผีกองกอยนางนี้ สามารถตามชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีจนทัน ชายหนุ่มเองก็มีความเฉลียวฉลาดพอตัวจึงแกล้งทำเป็นล้มลง แล้วเอาศีรษะซุกเข้าไปในโพรงดิน เมื่อผีกองกอยตามมาทันก็ร้องบอกให้เขากลับไปอยู่กับหล่อน แต่ชายหนุ่มไม่ยอมขยับเขยื้อนตัวเลย
ในที่สุดผีกองกอยก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ใช้ไม้อ่อนเสียหล่อนหันมาพูดกับเขาอย่างอ่อนหวานและสัญญากับเขาต่างๆ นานา เพื่อจะให้เขาออกมาจากโพรงดินนั้น แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉย จนกระทั่งผีกองกอยเอานี้วจี้ไปที่ร่างของเขา เพื่ออยากรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ชายหนุ่มก็ทำตัวแข็งทื่อไม่ยอมกระดุกกระดิกตัวเช่นเดิม
ทันใดนั้นเอง ผีกองกอยก็ได้กลิ่นตุๆ ลอยขึ้นมาจากร่างของชายหนุ่มกลิ่นนั้นทำให้ผีกองกอยคิดว่าสามีของหล่อนตายแล้ว หล่อนมีความเสียใจมากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน แล้วจัดการฝังศพของขายหนุ่ม เอาถุงทองวางไว้ข้างๆ ตัวเขาด้วย เสร็จแล้วก็กลับไปยังถ้ำของหล่อน ชายหนุ่มทนอึดอัดอยู่จนถึงเวลาค่ำ จึงได้ลุกขึ้นเดินกลับบ้านไป
เมื่อเขากลับไปถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังหลายคนและ ในจำนวนเพื่อนบ้านเหล่านั้นมีชายคนหนึ่งเป็นคนขี้อิจฉาประกอบกับมีความละโมบ จึงคิดจะเอาอย่างบ้าง เขาได้ทำตามชายหนุ่มคนแรกทุกอย่าง เริ่มด้วยการเอาตาข่ายไปดักปลา แล้วก็เดินตามรอยเท้าบนผื่นทรายไปจนถึงถ้ำผีกองกอย กระทั่งได้เป็นสามีนางกองกอย มีหน้าที่เฝ้าสมบัติไม่ต่างกันกับคนเดิม
ต่อมาก็หาจังหวะหนีโดยได้ขนเงินทองหนีออกจากถ้ำ แต่ไม่นานนักผีกองกอยก็ตามทันแต่ให้บังเอิญด้วยความละโมบของเขาที่โลภขนเงินขนทองมา
หลายถุงจึงทำให้หนักวิ่งไม่สะดวก เมื่อหันไปเห็นผีกองกอยวิ่งไล่กระชั้นชิดเข้ามาก็จำเป็นต้องโยนทึ้งเสียบ้าง กระทั่งวิ่งมาถึงไร่เขาก็ทรุดตัวลง แล้วเอาศีรษะชุกเข้าไปในหลุม แกล้งทำเป็นหมดความรู้สึกเช่นเดียวกับที่คนแรกได้เคยทำมาแล้วผีกองกอยเข้ามาถึงก็พูดเช่นเดียวกันกับที่เคยพูดกับขายคนแรก และเมื่อเห็นเขาไม่เคลื่อนไหว ผีกองกอยก็เอานิ้วจิ้มไปที่ตัวของชายคนนี้ แต่เขาเป็นคนบ้าจี้พอถูกจี้เข้าก็หัวเราะออกมา ผีกองกอยก็พลอยหัวเราะไปด้วย และได้ร้องออกมาว่า
"กองกอย กองกอย"
แล้วก็กินตับไตไส้พุงของชายโลภคนนี้จนหมดสิ้น
นิทานลาวเรื่องนี้ได้ความรู้เรื่องผีกองกอยว่ามีเลียงร้อง "กองกอย" มีเท้ากลับไปทางด้านหลังกินของคาวสด มีทรัพย์สมบัติมาก และรูปร่างคล้ายคนแต่ตัวเล็ก

มีนิทานลาวเรื่องผีกองกอยอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า...

มีชายคนหนึ่งไปดักปลาแต่ไม่เคยได้ปลาเลยจึงตรวจดูตามบริเวณนั้นก็พบรอยเท้าเล็กๆ ขนาดไม่เกินสามนิ้ว (แสดงว่าเท้าปุก) เขาแน่ใจว่าจะต้องเป็นผู้ที่มาขโมยปลาของเขาไปแน่ๆ คิดแล้วก็เลยแอบเฝ้าดูอยู่จนเกือบสว่าง จึงได้ยินเสียงคนเดินมาเบาๆ แล้วเขาก็ได้เห็นผีกองกอยมายืนอยู่ริมตลิ่ง เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมยาวเหมือนแม่มด ผีกองกอยไม่ได้นุ่งผ้า ตัวเปล่าเปลือยเมื่อเขาเห็นผีกองกอยจะเข้าไปลักปลาเขาก็วิ่งเข้าไปจับ แต่จับไม่อยู่เพราะผีกองกอยมีแรงมากกว่า ในที่สุดเขาเองกลับถูกจับและถูกบังคับให้เป็นสามีของ
หล่อนจนได้
ทุกครั้งที่ผีกองกอยออกไปหากินมันจะเอาหินขนาดใหญ่มีน้ำหนักหลายตันปิดปากถ้ำไว้อย่างแน่นหนา ชายหนุ่มอยู่กับผีกองกอยหนึ่งปีก็มีลูกด้วยกันหนึ่งคน ชายหนุ่มมีหน้าที่คอยเลี้ยงลูกในตอนที่ผีกองกอยไม่อยู่ เขาต้องทนอยู่เป็นเช่นนี้เป็นเวลาถึงสามปี และแล้ววันหนึ่ง ลูกชายของเขาก็พยายามผลักหินปิดปากถ้ำนั้นออกได้ ทั้งๆ ที่ผู้เป็นพ่อเองผลักไม่ไหว ทั้งนี้เป็นเพราะลูกได้รับกำลังและอำนาจมาจากผีกองกอยนั่นเอง ชายหนุ่มไม่รอช้าเขารีบวิ่งหนีออกจากถ้ำทันที แต่เมื่อผีกองกอยตามทันเขาก็แกล้งทำเป็นตายอย่างชายหนุ่มในเรื่องแรก ผีกองกอยก็เอามือจี้สีข้าง เขาทนได้และได้ผายลมออกมา ผีกองกอยได้กลิ่นตุๆ ก็นึกว่าตายแล้วจริงๆ เลยเอาฆ้องใบหนึ่งวางไว้ข้างๆ ตัวแล้วพูดว่า
"ถ้าเธอต้องการอะไร ก็ตีฆ้องนี้ขึ้นแล้วจะได้สมดังใจ"
พอผีกองกอยจากไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปบ้าน เมื่อเขาต้องการเงินทองจะตีฆ้องขึ้นก็จะได้มาซึ่งส่งที่ปรารถนา
จากนิทานเรื่องที่สองนี้ ได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างหนิงว่า ผีกองกอย เปลี่อยกาย ไม่นุ่งผ้า และมีลูกกับคนได้อีกด้วย
เรื่องผีกองกอย ในสมัยก่อนเชื่อกันมากมักพูดคุยเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอ
พระยาราชเสนาได้เล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 2460 ได้ไปตรวจป่าเร่วและ ต้นอบเชยที่จังหวัดชัยภูมิ และไปพักแรมทีภูเขาเขียว คืนหนึ่งเวลาราว 21:00 น. ทุกคนก็หลับกันไปหมดแล้ว คงเหลือแต่พระยาราชเสนากับนายด้วงปลัดอำเภอที่ยังนอนคุยกันอยู่ กับราษฎรที่สมัครไปด้วยอีกคนหนึ่งอายุกลางคน ชื่อ ตาไข้ประพฤติตนเป็นผู้ใหญ่ยังไม่นอน แกนั่งจักไม้สานตะกร้าสำหรับใส่ของป่าที่จะหาได้ และคอยชนไฟที่ก่อไว้ไม่ให้ดิบ
พระยาราชเสนากับนายด้วงได้ยินเสียงอะไรดัง จ๊อก จ๊อก ระยะห่างๆ เสียงนั้นเหมือนเสียงคนจุ๊ปาก หรือเสียงจึ้งจก แต่ดังกว่ามาก เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มีเสียงใบไม้ดังสวบๆ ตามเสียง จ๊อก ด้วยทุกจังหวะคือดัง จ๊อกสวบจ๊อกสวบ เป็นคู่กันดังนี้เรื่อยมา เหมือนหนึ่งตัวที่ร้องนั้นกระโดดบนกิ่งใบไม้ตามเสียงร้องนั้นทุกครั้ง
พระยาราชเสนาถามนายด้วงว่าเสียงอะไร นายด้วงก็บอกว่าไม่รู้จัก เพิ่งเคยได้ยินเสียงเดี๋ยวนี้เอง พระยาราชเสนาก็เตรียมปืนให้พร้อม นายด้วงก็ตามคอยดูว่า เมื่อเห็นตัวถนัดจะ ลั่นไกให้ได้ตัวมาดูเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นตัวออะไรกันแน่
จนกระทั่งเสียงนั้นเข้ามาถึงต้นไม้ในบริเวณที่พวกพระยาราชเสนาพัก พอจับเสียงได้ว่าอยู่ที่ต้นใด และพอเห็นต้นไม้ได้ถนัด ส่วนเจ้าของเสียงอยู่บนต้นไม้ซึ่งมืดมากมองไม่เห็นตัว พระยาราชเสนาผู้หันปากกระบอกปืนไปทางต้นไม้รู้สึกกระหยิ่มว่า ถ้ามันลงมาต่ำๆ คงได้เห็นอะไรแปลกๆ เป็นแน่ แต่ผิดหวังเพราะตาโข้อุตริออกเสียงเรียกชื่อคนขึ้น แล้วเจ้าตัวประหลาดก็ส่งเสียงดัง "จ๊อก" บนต้นไม้นั้นอีกครั้งเดียว และมีเสียงเหมือนลมพัดแรงๆ ลู่ใบไม้ดังซู่เป็นเสียงยาวประมาณ 5 วินาทีแล้วก็เงียบลง
พระยาราชเสนาเข้าใจว่ามันไปเสียแล้วจึงถามตาโข้ว่า แกเรียกใคร ตาโข้บอกว่าเรียกชื่ออ้ายอะไรจำไม่ได้ ซึ่งตายไปนานไม่ทราบว่ากี่สิบปีแล้ว แต่เป็นชื่อที่ผีชนิดนี้กลัวมาก แกจึงออกชื่อให้อ้ายตัวที่แกว่าเป็นผีนั้นได้ยินเพื่อให้หนีไปเสียพระยาราชเสนารีบถามตาโข้อีกว่าผีอะไร ที่ไหน แกจึงบอกว่า อ้ายที่มันร้องจ๊อก จ๊อกนั่นแหละ ผีกองกอย มีตีนเดียว ใครพบรอยที่ไหนก็จะมีแต่รอยเท้าข้างเดียว เหมือนกันทุกแห่ง รอยเท้ามันเท่ารอยเท้าเด็กเล็กๆ และผีอย่างนี้มันแปลงตัวให้ เล็กเท่าลูกลิงก็ได้ เมื่อมันเห็นคนเดินทางในดงในป่า หากนอนหลับแล้วมันก็จะลงมาหาของกิน ถ้าไม่ได้กินเลือดคนเพราะเขายังไม่ถึงที่ตาย มันก็ขโมยเขียดหรือ อึ่ง (อึ่งยาง) ที่เขาจับใส่หม้อขังไว้เป็นอาหาร ทั้งนี้คนที่ไปด้วยหลายคนรับรองคำ
ตาโข้ว่า ได้เคยเห็นรอยเท้าและเคยถูกขโมยเขียดมาแล้วเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น