Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติศาสตร์อียิปต์.........ว่าด้วยเรื่อง"มัมมี่"








อันดับแรกเราก็มารู้ถึงความหมายของมัมมี่กันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ไม่สงสัยกันไงคะ ว่าทำไมเค้าถึงเรียกกันว่า "Mummy"

"Mummy" เป็นภาษาอารบิกค่ะ ที่เรียกอย่างนี้ มันก้ต้องมีที่มาที่ไปใช่มั้ยคะ มันจะผุดมาเองไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องราวมันมีอยู่ว่า

ราวๆ ค.ศ 12 มีพ่อค้าชาวอาหรับคนหนึ่ง ซึ่งต้องจำชื่อไม่ได้ค่ะ ได้เดินทางเข้ามาในอียิปต์ ทีนี้พอเขาทราบว่าขบวนการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยจะต้องใช้ "บีทูมิน" อันเป็นตัวการทำให้ศพเปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลดำๆค่ะ เลยเรียก ขบวนการนี้ว่า "มัมมี่" ซึ่งมาจากคำว่า "มัมมิยะ" ในภาษาอารบิกซึ่งแปลว่า "บีทูมิน" นั่นเองค่ะ เจ้า"บีทูมิน" ตัวนี้น่ะ เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง (น้ำมันดิน ) สีจะออกน้ำตาลเข้มๆจนจะดำแล้วแหละค่ะ คนสมัยก่อนมักจะนำเอามาอุดรอยรั่วตามสิ่งของต่างๆค่ะ

ทีนี้ต้องจะเล่าเรื่อง"การทำมัมมี่" อย่างย่อๆให้ฟังก่อนนะคะ แล้วคราวหน้าจะเอาประวัติของมัมมี่ว่ามีมาตั้งแต่สมัยไหนมาเล่า พร้อมรูปภาพค่ะ

กระบวนการทำมัมมี่ จะเริ่มจาก "การเอาสมองออก" ก่อนค่ะ คิดแล้วก็ งงๆ มั้ยคะ ว่ามันเอาออกยังไงหว่า ไม่ได้ผ่ากะโหลกด้วยนะ ขั้นตอนมันก็มีอยู่ว่า เค้าจะเอาตะขอยาวๆที่ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ทะลวงเกี่ยวเข้าไปทางโพรงจมูกค่ะ คือ ทางรูมูกและรูที่อยู่ตรงฐานของกะโหลกศีรษะ บริเวณที่เชื่อมต่อกับกระดูกสันหลัง แล้วก็บิดตดขอ เพื่อคว้านสมอง (แว๊กกกกกก น่ากลัวค่ะ ตรงนี้) คว้านจนสมองแหลกเหลวเลยนะคะ แล้วก็ดึงออกมาทางรูจมูกจนหมดเกลี้ยง แล้วก็เอาของเหลวที่ร้อนๆข้นๆเข้าไปแทนที่ แล้วก็รอให้มันเย็นตัวลงเองค่ะ

ขั้นตอนต่อมา ก็จะเป็นการนำเอาอวัยวะภายในออกมา โดยจะใช้มีดเอาที่คมๆหน่อยนะคะ กรีดทางด้านซ้าย ให้เป็นแนวยาว แล้วลากเอาเครื่องในออกให้หมด ยกเว้นหัวใจค่ะ เพราะเค้าเชือ่กันว่า หัวใจเป็นตัวที่ควบคุมทั้งทักษะและอารมณ์ของมนุษย์ค่ะ ส่วนอย่างอื่นก็เอาออกมาล้างๆๆทำความสะอาด แล้วก็ห่อด้วยผ้าลินินก่อนจะนำไปบรรจุใส่ในโถซึ่งจะมี 4 โถค่ะ หัวโถจะเป็นรูป4ชนิดค่ะ คือ คน ลิง หมา และเหยี่ยว ซึ่งคล้ายๆเอาไว้คุ้มครองมัมมี่นั้นๆไงคะ

ส่วนร่างกายที่เหลือแต่หัวใจเค้าก็จะเย็บเอาไว้และ ก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษาสภาพศพค่ะ ซึ่งหลังจากที่ทำความสะอาดภายในช่องท้อง ช่องปากจนสะอาดดีแล้ว เค้าก็จะเอา"เนตรอน"ที่มีรสเค็มเหมือนเกลือ ใส่เข้าไปจนเต็ม มีสรรพคุณคือ ดูดซับน้ำหรือของเหลวต่างๆในร่างกาย และยังยับยั้งเชื้อรา แถมทำลายแบคทีเรียด้วยค่ะ โดยจะมีการเปลี่ยนทุกๆ 2-3 วัน ราวๆ 40-70 วันน่ะค่ะ คือรอจนศพแห้งสนิท เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกค่ะ แถมยังเป้นสีน้ำตาลดำๆอีกต่างหาก แต่พวกเส้นผมอะไรจำพวกนี้จะเหมือนเดิมค่ะ แต่เค้าก้มีพวกที่คอยแต่งศพด้วยนะคะ จะได้สวยๆไม่น่าเกลียดเท่าไหร่นัก

ก่อนที่จะพันศพนี่จะต้องเอาขี้เลื่อย หรือโคลน หรือ อะไรก็ตามใส่เข้าไปในช่องอกและหน้าท้องศพก่อนด้วยค่ะ เพื่อให้ร่างกายยังเหมือนมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นก็จะชะโลมด้วยน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้ผิวดูมีน้ำมีนวล ส่วนดวงตาทั้งสองข้างก็จะควักออกมา แล้วเอาลูกแก้ว หรืออาจจะปั้นอะไรกลมๆ ใส่เข้าไปแทนก็ได้ค่ะ ตามแต่ฐานะของแต่ละบุคคลจะอำนวย แล้วก็ดึงเปลือกตาลงมาปิดให้เหมือนกับนอนอยู่ จมูกกับปากก็เอาผ้ายัดเข้าไป นอกจากนี้ก้ยังมีการชะโลมร่างกายด้วยยางไม้อันเป็นการรักษาสภาพศพด้วยค่ะ

ขั้นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ คือ การห่อผ้าพันศพ แหละค่ะ ส่วนมากจะเริ่มจากการพันสิ่งเล็กๆน้อยๆก่อน เช่นนิ้ว ก็จะพันจากปลายนิ้ว แต่ละนิ้วไปเรื่อยๆขึ้นมาจนถึงมือ แขน นิ้วเท้าก็เช่นกันค่ะ พันขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็ถึงลำตัว และ ใบหน้าซึ่งส่วนนี้จะต้องเอาผ้ามัสลินปิดหลายๆชั้นหน่อยค่ะ ก่อนที่จะทำการพันรอบศีรษะ ต้องพันดีๆแน่นๆด้วยค่ะ ไม่อย่างนั้น สภาพศพอาจจะถูกทำลายได้ง่ายย

เรื่องพระเจ้าตาก จากหลวงพ่อจรัล


ข้อ เท็จจริงตามประวัติศาสตร์ที่ว่า พระเจ้าตากนั้นเป็นผู้กู้เอกราชให้กับไทยนั้นพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบ ที่เก่งกาจกล้าหา­ญ และเสียสละอย่างมากอย่างที่ชนธรรมดามิได้ล่วงรู้อีกมากมาย แต่เรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับพระเจ้าตากนั้นไม่ได้มีในประวัติศาสตร์ที่เรา เคยเรียนกัน

พระเจ้าตากมิใช่เป็นลูกของคนจีนสามั­ญชนตามประวัติ ศาสตร์ แต่เป็นโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับสนมลับชาวจีนชื่อ ไหฮอง แต่เนื่องจากสมัยอยุธยานั้นมีการแก่งแย่งชิงดีกันมาก มีการฆ่ากันเพื่อชิงราชสมบัติ พระมารดาของพระเจ้าตากเกรงจะเป็นอันตราย จึงได้ปิดเป็นความลับ และบอกว่าบิดาของพระเจ้าตากชื่อ ไหฮอง (ชื่อของนางเอง) และมารดาชื่อนางนกเอี้ยง (ชื่อที่แต่งขึ้นไม่มีตัวตนจริง)


ประวัติ ศาสตร์นั้นได้ถูกบันทึกไปตามเหตุการณ์ที่ถูกทำให้เป็นว่าเป็นไปโดยที่หามี ใครรู้ข้อเท็จจริงไม่ (โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าในสมัยที่เรียนประวัติศาสตร์นั้นก็มีความรู้สึกไม่ ค่อยเชื่อว่าคนที่จะขึ้นมาเป็นระดับพระมหากษัตริย์นั้นจะเกิดมาจากคนสามั­ ญชนเพียงเท่านั้น เพราะผู้ที่จะเป็นพระมหากษัตริย์นั้นย่อมต้องมีบุ­บารมีสูงย่อมน่าจะสืบสาย เลือดมาจากเชื้อพระวงศ์)

พระเจ้าตากไม่ได้สติวิปลาสและถูกสำเร็จ โทษด้วยท่อนจันทน์ดังที่ได้บันทึกในประวัติศาสตร์ ความจริงเป็นพระประสงค์ของพระองค์เองที่จะสละความเป็นกษัตริย์เพื่อหันไปออก ผนวชเป็นพระภิกษุจึงได้ขอร้องให้พระสหายร่วมสาบานปราบดาภิเษกแทน (พระสหายนี้คือรัชกาลที่หนึ่งนั่นเอง)

ความจริงพระสหายนั้นมีความ ซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าตากเป็นมั่น มิได้มีความคิดที่จะก่อกบฏหรือหวังขึ้นตั้งตัวเป็นกษัตริย์ และก็ไม่ยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าตากแต่ด้วยเหตุผลของพระเจ้าตากว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ยากจนเข็ญ­ใจ เงินในท้องพระคลังไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่เบ­จราชกกุธภัณฑ์ (เครื่องหมายแสดงความเป็นพระราชา มี ๕ ได้แก่ พระขรรค์ ธารพระกร อุณหิส ฉลองพระบาท และวาลวิชนี) เนื่องจากผลของสงคราม ข้าวยากหมากแพง พระองค์ต้องช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ จนต้องเป็นหนี้กับจีนถึงหกหมื่นตำลึง ถ้าหากพระองค์จะค่อยๆ ผ่อนใช้ก็พอได้แต่เมื่อรู้ว่าจีนคิดมิซื่อหวังยึดเอาไทยเป็นของตน ดังนั้นจึงมิอาจยอมได้ทรงคิดว่าการผลัดแผ่นดินเป็นการล้างหนี้ที่ดีที่สุด

พระองค์ ทรงใช้กุศโลบายเพื่อรักษาเอกราชของชาติ โดยแสร้งทำตนว่าสติวิปลาสแล้วให้พระสหายขึ้นปราบดาภิเษก ถึงตอนนั้นจีนก็ไม่สามารถยึดเอาไทยไปได้เพราะผู้ที่ทำสั­­ญญากับจีนนั้นเป็น พระเจ้าตากเพียงผู้เดียวที่รับผิดชอบ

ผู้ที่ถูกสังหารด้วยท่อน จันทน์ไม่ใช่พระเจ้าตากแต่เป็นสหายอีกคน(หลวงอาสาศึก) ที่หน้าตาท่าทางคล้ายกับพระเจ้าตากเป็นอันมาก ยอมเสียสละชีวิตตนแทนส่วนพระเจ้าตากนั้นพระสหายได้แอบพาหนีไปที่อื่นอย่าง ปลอดภัย นี่แสดงให้เห็นถึงความเสียสละของพระเจ้าตากกับความรักความสามัคคีและความ ซื่อสัตย์ที่พระสหายมีต่อพระเจ้าตากนั้นเป็นที่สูงสุด และนี้จึงเป็นผลบุ­ให้พระสหายซึ่งต่อมาได้สืบพระราชวงค์ใหม่ได้มีแต่ความเจ ริ­ญยั่งยืนสืบยาวนานตลอดรัชกาล

พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์(ละสังขาร)อย่างไร
เมื่อ ครั้งที่พระเจ้าตากได้ไปตั้งค่ายในป่าได้พบกับพระรูปหนึ่งได้ให้กรรมฐานแก่ พระเจ้าตากจึงทรงมิอยากครองราชต่อไป ทรงดำเนินแผนการว่า ทางอยุธยาเกิดเรื่องจึงสั่งให้พระยาสวรรค์ยกกองทัพไปปราบ เสร็จแล้วให้กลับมายังกรุงธนบุรีและล้อมพระราชฐานไว้แล้วจับพระองค์บวชเสีย แต่ปรากฏว่าพระยาสวรรค์เกิดลืมตัวอยากเป็นใหญ่ ตั้งตนเป็นกษัตริย์ขึ้นมาจริงๆ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่หนึ่ง) จึงได้ยกทัพลงมาปราบ ส่วนพระเจ้าตากได้ไปเจริ­วิปัสนากรรมฐานในถ้ำแห่งหนึ่งที่เพชรบุรี ในวันที่พระองค์บรรลุธรรมสูงสุดคือวันที่ท่านละสังขาร ขณะที่กำลังดูดดื่มอยู่ในวิมุติสุข พระองค์ถูกชายสองคนใช้ไม้คมแฝกฟาดที่ศรีษะอย่างนับไม่ถ้วน ชายสองคนนั้นเป็นพวกกลุ่มคนที่ต้องการเอาความดีความชอบ เมื่อรู้ว่าผู้ที่ถูกสำเร็จโทษ ไม่ใช่พระเจ้าตากตัวจริงจึงสืบหาเพื่อตามสังหารแต่กรรมตามทันมีการกบฏซ้อนกบ ฎกันวุ่นวายพวกนั้นก็ฆ่ากันตายเอง ส่วนพระเจ้าตากได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์กลายเป็นวิสุทธิเทพในที่สุด

หนังสืออ้างอิง
ความหลงในสงสาร,(สุทัสสาอ่อนค้อม),๒๕๔๙

เรื่อง ราวนี้เป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของพระเดชพระคุณพระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ­ จิตธัมโท/หรือพระครูเจริ­ จิตธัมโม) ซึ่งได้เจริ­กรรมฐานจนได้อนิสงส์สามอย่างคือระลึกชาติได้เจ็ดชาติเห็นกฏแห่ง กรรมและเกิดปั­­ญญาแก้ปั­ญหาได้ ท่านได้พบกับพระเจ้าตากซึ่งเป็นพระวิสุทธิเทพแล้วเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พระเจ้าตากได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังด้วยต้องการให้นำไปเผยแพร่ข้อเท็จ จริง เพราะท่านเห็นว่าคนไทยเราต่างมีความขัดแย้งกันมากมาย ที่สำคัญ­คือท่านไม่ต้องการให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสียเพราะจากความเข้าใจ ผิดและความมิชฉาทิฐิ ท่านที่ได้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ปั­­ญญาและสัมมาทิฐิของแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนตัวของข้าพเจ้ามิได้มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ใดๆ ที่จะเห็นได้ว่าเรื่องที่เล่านั้นจริงหรือไม่เพียงแต่อ่านแล้วรู้สึกเกิดแรง บันดาลใจที่จะเล่าต่อต่อให้แก่กัน

โดยหวังว่าอานิสงค์นี้จะช่วยก่อ ให้เกิดผลแก่ประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้ ประชาชนได้เกิดความสามัคคี อย่าได้มีความขัดแย้งแตกแยกกันจงเกิดปั­­ญญาและสัมมาทิฐิ รู้ข้อเท็จจริงด้วยปั­­ญญาของตนเอง มิใช่จากการฟังเสียงลือเสียงเล่าอ้างแล้วมิได้ไตร่ ตรองจนทำให้เกิดความทะเลาะเบาะแว้ง

เมื่อท่านได้อ่านแล้วมีจิตนึกถึง ความเจริ­ญของ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์" ก็ขอให้ช่วยกันอธิษฐานแล้วช่วยลงความเห็นยิ่งมากเท่าไหร่ ย่อมเป็นพลังให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้นเท่านั้น และด้วยบุญ­แห่งการอธิษฐานที่ไม่ใช่เพื่อตัวเองนี้แลจะกลับมาส่งถึงตัวท่าน เองมากมายหลายร้อยเท่า

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ...หลวงปู่โต



เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

********************

...ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต )

กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม

คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่และมีขันติธรรมอันมั่นคง

จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้



...อาตมามีกฎอยู่ว่า

เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว

ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ

ชำระกายให้สะอาด

แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง

พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต

เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



...ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา

กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม

เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียว

เว้นไว้มีกิจนิมนต์

จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง

ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้

วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที

ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา

เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก

บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด

เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น

ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร

ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น



--------------------------------------------------------------------------------



หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

*****************************

1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง

2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์

3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก

และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน



ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็น

จะต้องมีกฎเกณฑ์ของเราเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง




ทางแห่งความหลุดพ้น

*******************

...เจ้าประคุณสมเด็จฯ

มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า

ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตาย

และถูกหามเข้าป่าช้า

ดังนั้นจึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา

เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏท่านเปรียบเทียบว่า

มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง

เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครก

ที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาด

แม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์

ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน

ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคม

ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน

จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง

และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน




แต่งใจ

******

...ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า

ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น

จะขาดเสียไม่ได้

ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ

แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา

แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ

ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้

...ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย

เป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ

มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง

ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่

มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด

หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง

ทำความสะอาดหรือ?





กรรมลิขิต

*********

...เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว

ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น

ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง

แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตน

ที่ได้กระทำไว้

ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต



อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่

ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง

อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน

ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง



เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว

เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง

ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ



นักบุญ

******

...การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี

ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ

ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ

มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส

ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ

แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า

เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า

เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์

เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้า

ในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี

บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ

คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น





ละความตระหนี่มีสุข

******************

...ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข

หากมาจากการก่อกรรม

บุญนั้นจึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้

หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว

การทำบุญนี้จุดแรกในการทำ

ก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่

รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น

ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย

เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน



อย่าเอาเปรียบเทวดา

*******************

...ในการทำบุญ

สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์

เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล

ทำให้จิตใจเบิกบานดีนี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน

ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น

มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา

ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง

การทำบุญแบบนี้เรียกว่า

ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ

บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล

ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบ

ในการทำของมนุษย์แต่ละคน

เขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง

อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใคร

และของเรื่องราวนั้นๆ

กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น

ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย





บุญบริสุทธิ์

**********

...การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น

ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่หนึ่ง

จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ

แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ

ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ

เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว

ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า

ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน

สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน




--------------------------------------------------------------------------------




สั่งสมบารมี

**********

...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว

การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิต

ให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นเป็นบารมีอย่างหนึ่ง

ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม

เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน





เมตตาบารมี

***********

...การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี

หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี

และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น

ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้

ให้สักแต่ว่าให้เขาท่านก็ย่อมได้กุศล

เรียกว่าไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่า

การบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้น

ได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน





แผ่เมตตาจิต

***********

...ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น

เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่

แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม

หรือกายกรรมที่เป็นรูป

การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า

เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง

ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง

ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส

สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย

ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น

เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า



อานิสงส์การแผ่เมตตา

********************

...ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา

คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเรา

แต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิต

และวิญญาณกระจายออกไป

เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์

เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน

เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา

เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร

คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา

หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆ

ก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา

แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน

สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้

เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง

ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา

เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร

เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต

วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น

จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป

ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

จิตแน่วแน่แล้ว

โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป

ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว

คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย

หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว

ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้

หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้



ประโยชน์จากการฝึกจิต

**********************

...ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน

เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น

ปัญญานี้เรียกว่า

ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ

ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน

เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลา

อันยาวนานข้างหน้า

นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว

คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย

เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว

ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน

เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง

กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย

โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น

ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ

จะผ่อนคลายเป็นปกติ

โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดย

เฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง

หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

หลวงปู่ฝากเตือนมาว่า เวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อย


เมย์พบพระผู้มี "อภิญญา" มีฤทธิ์มาก ท่านฝากเตือนมาว่า เวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว (ก่อน พ.ศ. 2560)


ข้อมูลจาก โดย นางสาว เปรมสุดา (เมย์)

เมย์พบพระผู้มีอภิญญาฤทธิ์นามว่า"หลวงปู่ประเสริฐ" ท่านฝากเตือนมาว่าเวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว น่าสงสารสัตว์โลก

พระ ผู้มีอภิญญาฤทธิ์ ลูกศิษย์เรียกท่านว่า "หลวงปู่ประเสริฐ" อ่ะค่ะ สำนักสงฆ์ของท่าน อยู่ติดกับ "วัดซับปลากั้ง" ลำพญากลาง ต.ลำสมพุง, อ.มวกเหล็ก, จ.สระบุรี, 18180

"หลวงปู่ประเสริฐ" ท่านมีอภิญญาสูง มีฤทธิ์มาก เมย์เห็นมากับตาหลายครั้ง และลูกศิษย์ ก็เห็นมาหลายคน
ใคร เคยประสบด้วยตนเอง ช่วยมาโพสต์ในนี้ให้เพื่อนๆอ่านด้วยค่ะ (แต่วันนี้เมย์จะไม่เล่าเรื่อง อภิญญา ของหลวงปู่ เพราะมันเยอะ พิมพ์ไม่ไหว) แต่เมย์จะเล่าเรื่อง วาระสุดท้ายของโลกมนุษย์ค่ะ

เม ย์ ไปพบท่านเมื่อไม่นานมานี้เอง ไปกับกลุ่มของเพื่อนคุณพ่อค่ะ วันนั้นไปกันราว 10 คน พวกเรานั่งรถตู้ของเพื่อนคุณพ่อเมย์ นั่งรถตู้จากกรุงเทพ 8.00 น. กว่าจะถึง สำนักสงฆ์ของท่าน ก็เกือบเที่ยงอ่ะค่ะ เส้นทางวกวน เหมือนเขาวงกต เพราะสำนักสงฆ์อยู่บนเขาสูง (แถวนั้นเรียกว่า "ลำพญากลาง") สูงจากพื้นดินมากค่ะ เพราะทุกคนในรถตู้รู้สึก "หูอื้อ" ทุกคน พอไปถึงก็ยังไม่พบท่านหรอกค่ะ เพราะท่านอยู่ใน กุฏิ ด้านหลัง ซึ่งห้ามไม่ให้ใครเข้า สภาพของสำนักสงฆ์เรียบง่าย มีกุฏิ 2 หลัง, มีวิหารเล็กๆ 1 หลัง, มีโรงครัวเล็กๆ 1 หลัง, มีห้องน้ำราว 10 ห้อง ทั้งหมดมาจากเงินจากผู้บริจาค ของผู้ที่มากราบท่านทั้งสิ้น

เพราะ หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ พ.ศ. 2502 มาตั้งแต่ที่นี่ยังเป็นป่าอยู่เลย ยังไม่มีอะไรเลย มีแต่ป่าทั้งนั้น พอท่านอยู่ไปก็มี ผู้คนไปกราบไหว้ รวมคนที่ไปกราบท่านจนถึงปัจจุบันก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 100,000 คนค่ะ

แล้ว หลวงปู่ท่านก็เดินลงมา แล้วตรงมาที่กลุ่มของเมย์ หลวงปู่ท่านอายุน่าจะ 80 ปีได้ค่ะ รูปร่างสูงสง่างาม (น่าจะสูงเกิน 180 ซม.) ดูท่านใจดี ลักษณะการเดินของท่านดูสูงส่งมากค่ะ (เดินสง่างาม น่าเลื่อมใส อธิบายไม่ถูก) น้ำเสียงที่นุ่มนวล ท่านบอกกับทุกคนว่า "เอาล่ะนะ" ถึงเวลาที่ชั้นจะบอกเรื่องสำคัญล่ะนะ ทุกคนตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วไปเตือนผู้คน และคนอื่นๆ

ท่าน ก็เริ่มเทศนาว่า... แท้จริง ประเทศไทย และ ทุกประเทศทั่วโลก น่าจะพบกับความหายนะครั้งใหญ่ จากภัยธรรมชาติใหญ่ ซึ่งผู้คนต้องตายเกือบหมดโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 แต่ที่มันไม่เกิด ก็เพราะว่า มีพระผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หลายท่าน รวมไปถึงเทวดาผู้รักษาโลกมนุษย์ ช่วยกัน อธิษฐานจิต ให้เหตุการผ่านพ้นไปก่อน ซึ่งในความเป็นจริง มันได้แค่เลื่อนออกไปเท่านั้น ยังไงๆเหตุการณ์ภัยธรรมชาตใหญ่ิ และความหายนะครั้งใหญ่ ต้องเกิดขึ้นแน่นอน

นับ แต่เวลาี้นี้ พ.ศ. 2552 แรงอธิษฐานมันหมดกำลังลงแล้ว และจะไม่สามารถอธิษฐานเลื่อนได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ไป ภัยธรรมชาติ และความหายนะครั้งใหญ่ จะค่อยๆปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นๆมากขึ้นๆ โดยเริ่มทีละน้อยจาก พ.ศ. 2552 เป็นต้นไป จะค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นๆ สารพัดภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว, พายุ, ภูเขาไฟระเบิด, น้ำทะเลสูงท่วมแผ่นดิน, หมู่เกาะทั้งหมดจะจมใต้ทะเลทั้งหมด และสารพัดอย่างจะประดังเข้ามา ฯลฯ

ทุกอย่าง จะจบสิ้นก่อนปี พ.ศ. 2560 มนุษย์ที่ศีลไม่ครบ จะถูกภัยธรรมชาติใหญ่ คร่าชีวิตทั้งหมด และมนุษย์ที่รอดชีวิตนั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น และคนที่รอดชีวิตส่วนมาก จะเสียสติไปเลย เพราะตกใจกับเหตุการณ์แบบสุดชีวิต หลวงปู่บอกว่า เอายังงี้ละกันนะ คนจะตายกันเกือบหมดโลกเลย แต่ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุด คือรอดประมาณ 20-30 % ของประชากรไทย ไปคำนวณกันเอาเอง พูดง่ายๆ ตายเกือบหมดประเทศนั่นแหละ จะเหลือแค่คนมีศีลธรรมจริงๆเท่านั้นเอง

หลัง ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป มนุษย์ชาติจะเข้าสู่ยุคใหม่ เรียกว่ายุคศิวิไลซ์ เนื่องจากคนไทยจะเหลือมากที่สุด (20-30 %) ต่อไปประเทศไทยจะได้เป็น มหาอำนาจ และเป็นศูนย์กลางของโลก เมื่อเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ผู้คนยุคนั้นจะเปลี่ยนทัศนะคติ ในการดำเนินชีวิตใหม่ทั้งหมด ในยุคนั้น ผู้คนจะไม่สนใจเงินทองอีกเลย แต่จะมาแข่งขันในเรื่องของการ บำเพ็ญบุญ-กุศล

ท่าน ว่าเวลาของโลกมนุษย์เหลือน้อยแล้ว เหตุการณ์มันกำลังจะมาถึงแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบๆทำ เลิกใช้ชีวิตแบบโง่เขลาเบาปัญญาเสียที สิ่งที่จะติดตัวเราไปมีเพียง บุญ-บาป เท่านั้น จำไปบอกต่อๆกันด้วยนะ ลูกหลาน ขอให้เอาชีวิตรอดให้ได้นะ ชั้นก็มีเรื่องจะบอกเท่านี้แหละนะ เจริญพร.......ทุกคนก็กราบท่าน ด้วยความกลัว ใจหวิวๆ บอกไม่ถูกค่ะ

Aliens Crysis 11

อสูรใต้ทะเล "Aliens Crysis 11" จากคัมภีร์ไบเบิ้ล (คอยเก็บกวาดซากศพมนุษย์ หลังวันชำระล้างโลก)
บรรยายโดย อ.ปริญญา ตันสกุล



เมื่อวานนี้ 20 ส.ค.49 ผมได้ไปฟังบรรยายของ อ.ปริญญา ตันสกุล มาครับ ท่านบอกว่า 28 ส.ค. 49 นี้ ปลอดภัยครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ไอ้เรื่องที่ไม่คิดว่ามันจะเกิด มันได้เริ่มเกิดขึ้นแล้วครับ แบบเงียบๆ กำลังเพาะบ่มตัวมันเองอยู่ นั่นคือสิ่งที่ท่านเรียกว่า "Alient Crysis"

ท่านว่า ความจริงมันถูกกำหนดให้มาที่โลก พร้อมการการมาชนของดาวหางหลังเกิดเหตุการ "56 วัน" (วันชำระโลก) ผ่านไปแล้ว เพื่อให้พวกมันมากินซากศพ มาเป็นผู้เก็บกวาดซากปรักหักพังที่จะมีมากบนโลก แต่ก็มีมนุษย์หัวใสชาติหนึ่ง ที่ส่งยานอวกาศลำหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ ไปยิงระเบิดใส่อุกาบาศก์หรือดาวหางลูกหนึ่ง ที่โคจรมาเฉียดๆโลก เมื่อหลายเดือนก่อน เพื่อศึกษาปรากฎการอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ที่มีข่าวไปทั่วโลกนั่นแหละ

ทำให้ตัวอ่อนของมันซึ่งอยู่ในแคปซูลที่เป็นเจลใสและถูกแช่แข็งอยู่ หลุดออกมาจากอุกาบาศก์ลูกนั้น แล้วตกลงมาในโลก เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 49 ที่ผ่านมา ที่มีข่าวชาวบ้านเจอวัตถุประหลาด เป็นเจลใสเหมือนเยลลี่นั่นแหละครับ แล้วพวกนักวิทยาศาสตร์ที่คิดว่าตัวเองฉลาดก็มาบอกว่ามันเป็นแค่"เจลลดไข้" เท่านั้นเอง อาจารย์ว่า เจลที่เห็นคือเจลที่หุ้มตัวมันอยู่ แต่ตัวมันเหลือรอดชีวิตอยู่ 12 ตัว ลงทะเลไปแล้วครับตอนนี้

มันมีปีก หัวเหมือนแมงมุม ตอนเล็กๆมันก็จะกินสัตว์เล็กสัตว์น้อยในทะเล พอโตขึ้นๆก็จะกินสัตว์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อายุ 7 เดือนมันจะตัวโตเท่าลูกควาย ผมจำไม่ได้ว่ามันเริ่มสืบพันธุ์ตอนอายุเท่าไหร่ และจำไม่ได้ว่าอีกกี่เดือนที่ในทะเลและมหาสมุทรบนโลกเรานี้จะมีพวกมันอยู่เป็นแสนๆตัว ปกติมันมีนิสัยชอบกัดชอบแทะอยู่แล้ว ดังนั้นพื้นดิน พื้นหินมันก็จะกัดกินไปทั่ว และตัวมันจะใหญ่มากๆครับ ปี 50 จะเริ่มหาปลาในทะเลได้น้อยลงอย่างชัดเจน เพราะมันกินไปหมด และเมื่ออะไรๆไม่มีให้มันกินแล้ว มันจะกินเรือทั้งลำครับ ฯลฯ

ยังมีรายละเอียดอีกครับ แต่ผมทั้งจดและจำแต่ไม่ค่อยทัน ก็เลยพอแค่นี้ก่อน ก็เป็นอันว่า 28 ส.ค.49 อาจารย์ว่าปลอดภัยครับ รอลุ้นอีกเหตุการณ์ดีกว่า ท่านว่า "ภายในปลายปีนี้ จะมีเหตุการณ์อะไรดีๆให้เราได้เผชิญกันอีกแน่นอน" และก็รอดูเจ้า "Alient Crysis" นี่ดีกว่าครับ อีกแค่ปีหน้าเท่านั้นเองก็จะเห็นผลแล้วครับ คงได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับมันบ้างแหละครับ

อ้อ..อีกอย่างหนึ่งครับ สงครามนิวเคลียร์จะมีก่อนวันชำระโลกครับ ซึ่งอาจารย์แย้มๆว่า วันชำระโลก ก็คือปี ค.ศ.ที่ตัวเลขรวมกันได้ 11 นั่นแหละครับ

...2009...อีกประมาณ 3 ปี พวกเรามีเวลาเตรียมตัวกันแค่นี้ครับ

mead สมาชิก



อาจารย์กล่าวถึงเชื้อไข้หวัดนกว่า (H5N1) ที่แท้พาหะคือมนุษย์ต่างดาว ที่ไหนมีเขามาสร้างฐานลับๆไว้ อย่างในเมืองไทยเช่น จังหวัดนครสวรรค์ และกาญจนบุรี จะเห็นว่าเชื้อจะแพร่ระบาดอยู่แถวๆรอบบริเวญนั้น เช่น พิจิตร อุทัย หรือจังหวัดตาก (ภาคใต้หรืออีสานกลับไม่ระบาด) และเชื้อจะกลายพันธุ์เข้าสู่คนรุนแรงยิ่งขึ้น (จำพวกเอนโตรไวรัส หรือโบทูลินั่ม) อีกหน่อยจะเห็นข่าวคนถูกโรคร้ายเหล่านี้ โดยมันจะเจาะเข้าบริเวณต้นคอ แล้วเคลื่อนตัวสู่ในไขกระดูก เข้าไปทำลายไขกระดูก ซึ่งยากต่อการรักษามาก ทำให้ต่อไปมนุษย์โลกจะระแวงกันเอง เพราะเข้าใจว่าเป็นอาวุธเชื้อโรคชนิดใหม่

ตอนนั้นยารักษาโรคจะขาดแคลน มนุษย์โลกจะขาดแคลนอาหารสำหรับบริโภค เพราะแหล่งเพาะปลูกเสียหายปลูกไม่ได้ สัตว์เลี้ยงจะติดโรคตายเกือบหมด สัตว์ทะเลหากินยาก แหล่งน้ำจืดหายากขึ้น คนวิกลจริตเพิ่มสูงขึ้น เพราะสารพิษของโลหะหนักจะปะปนกับน้ำดื่ม (ไฮโดรคาร์บอน+สารปรอท) หอย ปลาช่อน ปลาไหล จะเป็นพาหะของสารพิษ และเข้าไปทำลายระบบประสาทของมนุษย์ สนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน ทำให้เหล่าผู้นำและมนุษย์ทั้งหลายโกรธง่าย โมโหง่าย ขึ้นๆลงๆ ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ขาดสติสัปชัญญะ โจรภัยและการฆ่าตัวตายสูงขึ้น ดินฟ้าอากาศวิปริตจะแปรปรวนหนักขึ้น จะเกิดธรณีพิบัติ ตามเมืองท่องเที่ยวติดชายฝั่งทะเล จะถูกโจมตีหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะโลกต้องปรับสมดุลเร็วขึ้น

มนุษย์ที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลเนื้อจะเน่าเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะถูกน้ำลายเจ้าสัตว์ร้าย (ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล) Aliens Crysis 11 จับสัตว์ทะเลไม่ได้เหมือนก่อน อาหารแพงขึ้น ทำให้คนจนลำบากยิ่งขึ้น เรือจะหาย(ถูกกิน) มันจะกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า กินได้แม้กระทั่งปลาวาฬ

และผมได้เข้าไปถามอาจารย์เพิ่มเติมว่า เจ้า Aliens Crysis 11 หลังจากการชำระโลกผ่านไปมันจะเป็นอย่างไร? อาจารย์บอกว่ามันจะถูก E.T.ที่มีหน้าที่มาช่วยกำจัดอีกทีหนึ่ง เพราะหมดหน้าที่ของมันแล้ว (หน้าที่มันคือช่วยกินซากศพของมนุษย์ ที่ถูกพัดพามาตามน้ำ ที่ลอยเกลื่อนอยู่ในทะเล มาช่วยมนุษย์ทำความสะอาดโลกให้สะอาดเร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจเกิดโรคระบาดได้..)

อาจารย์ยังบอกว่า คุณไม่ต้องเชื่อเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้ แต่ให้ติดตามดูเหตุการณ์ต่อไป เพราะบอกไปก็เหมือนเรื่องเหลวไหลเกินจะมีใครเชื่อได้
หน้าที่ของอาจารย์มี 3 อย่าง

1. แจ้งข่าวสารการชำระโลก
2. ช่วยสร้างสติทางวิญญาณด้วยความรู้
3. ช่วยสร้างปณิธานแห่งนิพพานกับรูปธรรมมนุษย์

มิใช่หน้าที่ของอาจารย์ที่จะบอกว่าวันใดมันจะเกิด อันนั้นขึ้นอยู่กับช่างเทคนิค(เจ้ากรรมนายเวร) ซึ่งเขาไม่มีทางบอกคุณหรอกว่าจะทำเมื่อไหร่ ถ้าบอกก็เลื่อนออกไปอีก บอกใบ้ได้เท่านั้น 49+7= 56 วัน 7 ราตรี วันชำระโลก ก็คือปี ค.ศ.ที่ตัวเลขรวมกันได้ 11 นั่นแหละครับ

ทำให้ผมนึกถึงรหัสวันเวลา เก้าเก้า ของสำนักอนุตรธรรมขึ้นมาเลยทีเดียว (29)ไปคิดกันดูครับ บอกตรงๆไม่ได้เดี๋ยวเลื่อนอีก..แต่ถ้าไม่เกิดหรือเบาลงได้ก็จะดึกว่านะครับ...

แม่นายมล สมาชิก



• 4 ก.ค. 48 NASA ยิงดาวหาง เทมเพลวัน อันเป็นที่อยู่ของตัวดักแด้
น้ำจำนวนมหาศาล เข้าสู่ระบบโลก พุ่งออกมาพร้อมดักแด้
• 11 พ.ค. 49 ดักแด้ทิ้งรังตกสู่พื้นโลก ความร้อนจากการเสียดสีในชั้นบรรยากาศโลก ช่วยละลายน้ำแข็งเย็นจัด ตัวอ่อน Aliens Crysis 11 เติบโตบินลงสู่ทะเล
• 5 ก.ค. 49 มี UFO ประมาณ 1,000 ลำ มาประชุมกันที่ เขาตะนาวศรี
มาจากนอกระบบสุริยะจักรวาลของเรา
• 11 ธ.ค. 50 Aliens Crysis 11 จะมีอายุครบ 1 ปี 7 เดือน โตเต็มที่พร้อมขยายพันธุ์

mead สมาชิก

หลวงปู่เครา ท่านยังบอกว่าเรื่องตัวประหลาดใต้ทะเลมีอยู่จริง..ตาสีแดงตัวเท่าควาย กำลังขยายพันธุ์อยู่ใต้ทะเล พวกนี้จะทำให้เรือประมงเสียหายจากการพุ่งชน และจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ใต้ทะเลด้วย..พอท่านรู้ว่า อ.ปริญญา ก็เคยบอกไว้เหมือนกัน ท่านก็บอกว่ากลุ่มนี้ใช้ได้ทีเดียวที่รู้เรื่องนี้..

แต่ท่านเรียกเจ้าตัวนี้ว่า "อสูรใต้น้ำ" ก็คือเจ้า Alien crisis 11 ที่ อ.ปริญญา ตันสกุล เคยกล่าวไว้ครับ ถ้าต้องไปทะเลลึกๆ ต้องระวังเป็นพิเศษ ดูเหมือนมีมูลความจริงปรากฎ ชัดขึ้นแม้จะดูเหลือเชื่อก็ตาม

crisis แปลว่าขั้นวิกฤตครับ และมีรหัส 11 มาเกี่ยวข้อง สัญญลักษณ์เค้าจะมีจุดสีเข้มๆ 11 จุดบนหลังด้วยครับ

จุดกำเนิดอสุรกายจากนอกโลก



ภาพของเทมเปิล-วัน หลังจากถูกปะทะ ยังคงมีกลุ่มควันและหมอกกระจายหนา มีลักษณะเหมือนผงแป้งขาวๆ จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดว่าพื้นผิวชั้นนอกของดาวปกคลุมได้ด้วยผงฝุ่นน้ำแข็ง

สเปซดอทคอม/เอพี 6 ก.ค.48 - แม้ว่าการพุ่งชนดาวหางจะสำเร็จมา 2 วันแล้ว แต่ภารกิจทางวิทยาศาสตร์เพิ่งจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง โดยเหล่าทีมวิเคราะห์ข้อมูลเริ่มเห็นความแตกต่างของ “เทมเปิล-วัน” กับดาวหางดวงอื่นๆ ที่เคยสังเกตใจกลาง ผิวชั้นนอกฉาบด้วยฝุ่นผงและน้ำแข็ง ขณะที่ใจกลางเป็นของแข็งอาจเป็นไปได้ทั้งน้ำแข็งและก้อนหิน ยังคงต้องรอภาพถ่ายหลุมที่อิมแพคเตอร์สร้างไว้คาดอีกประมาณ 1 สัปดาห์คงได้ข้อมูลครบถ้วน ก่อนสรุปอย่างคร่าวๆ ได้ว่าที่แท้ใจกลางของดาวหางดวงนี้เป็นอย่างไร

”สิ่งที่พวกเราไม่รู้ ก็ยังคงไม่รู้ต่อไปว่าความร้อนที่พุ่งขึ้นสูงขณะนี้จะคงอยู่ยาวนานขนาดไหน และสสารชนิดใดบ้างที่กระเด็นออกมาขณะถูกระเบิด แล้วมันเย็นลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร พวกเรากำลังขมวดคิ้วพินิจพิจารณาอย่างเคร่งเครียด” ซันไชน์กล่าว...

เกษม สมาชิก



เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2552 ผมได้ไปงานหนังสือ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต ได้ไปซื้อ vcd The Alien "crysis11" กับหายนะโลก ของ อ.ปริญญา ตันสกุล มาเปิดดู พบว่านอกจากเรื่องที่คุณ chayutt ได้บอกเอาไว้แล้ว ยังมีเรื่องสำคัญที่ อ.ปริญญา ได้เปิดเผยเอาไว้อีกเรื่องคือ เจ้า Alien crysis11 ยังจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดคลื่นสึนามิยักษ์สูงถึง 32 เมตร

ซัดกระหน่ำเข้ามายังชายฝั่งประเทศต่างๆ ในอนาคต เนื่องเพราะเจ้า Alien crysis11 นี้มันสามารถแพร่พันธุ์ จากเดิมที่มีเพียง 12 ตัว ให้กลายเป็นนับแสนๆ ตัวได้ภายในเวลาเพียง 3-6 ปี นับจากปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ซึ่งมันจะกัดกินทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะมันมีนิสัยชอบเจาะชอนไช ไปตามก้อนหินใต้เปลือกโลก เมื่อมันมีจำนวนหลายๆ ตัวเข้า มันจะร่วมมือกันเจาะพื้นเปลือกโลกใต้ทะเลให้ทะลุเป็นโพลงขนาดใหญ่ ในบริเวณใกล้เคียงกับที่เคยเกิดสินามิครั้งใหญ่เมื่อปลายปี พ.ศ.2547

แต่คราวนี้รูขนาดใหญ่ที่มันเจาะ จะทะลุไปถึงชั้นของน้ำร้อนใต้เปลือกโลก ทำให้น้ำร้อนนั้นดันตัวเองขึ้นมาจากรูขนาดใหญ่นั้น ทำให้เกิดเป็นคลื่นขนาดยักษ์สูงถึง 32 เมตร กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง เป็นสึนามิไซโคลนพัดกระหน่ำมายังประเทศต่างๆ โดยรอบรวมทั้งประเทศไทยด้วย และคราวนี้จะมีคนเสียชีวิตมากกว่าคราวที่แล้วเป็นสองเท่าเลยทีเดียว

นอกจากนี้เจ้า Alien crysis11 มันจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พื้นแผ่นดินทางภาคใต้ของไทย ต้องทรุดตัวจมลงไปใต้ทะเล เนื่องเพราะมันจะกัดกินก้อนหินและชอนไชไปตามรอยร้าวของแผ่นเปลือกโลก ทำให้แผ่นเปลือกโลกแตกหักออกจากกันในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย

เจ้า Alien crysis11 นี้มันจะทำให้ชาวประมงจับปลาได้น้อยลง เพราะถูกพวกมันกินไปจนเกือบหมดแล้ว และของเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวของมัน จะทำให้น้ำทะเลเน่าเสียอีกด้วย จึงนับได้ว่าเจ้า Alien crysis11 คืออสูรร้ายแห่งใต้ทะเล ที่ถูกกำหนดมาให้มาทำลายล้างโลกนี้โดยแท้ ถ้านับถึงปัจจุบันนี้พวกมันก็น่าจะมีจำนวนหลายพันตัวเข้าไปแล้ว ยิ่งเมื่อถึงปี ค.ศ.2012 พวกมันก็น่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็นหลายแสนตัว

ถ้าเรามาพิจารณาดูจากจำนวนของเจ้า Alien crysis11 นี้แล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่วันชำระโลก จะถูกเลื่อนไปไกลถึงปี ค.ศ.2030 เพราะจำนวนของมันจะเพิ่มมากขึ้นเป็นล้านๆตัวในเวลานั้น ซึ่งพวกมันจะทำให้น้ำทะเลเน่าเสียไปจนหมดแล้ว วันชำระโลกที่แท้จริงจึงน่าจะเป็นปี ค.ศ.2017 ตามพุทธทำนายครับ

เรื่องจริง สยอง! ฉลามขาวยาว 3 เมตร ถูกกัดจนเกือบขาด 2 ท่อน (โดยไม่ทราบสาเหตุ)โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2552 18:02 น.

ทัชมาฮัล Taj Mahal






ชื่อสถานที่

ทัชมาฮัล
: Taj Mahal
สถานที่ตั้ง เมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้



ทัชมาฮัล เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะที่นี่เป็นสุสานฝังศพของ มุมทัชมาฮัล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์เยฮัน อยู่ในเมืองอัคระ บนฝั่งแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย

มุมทัชมาฮาล เป็นมเหสีที่พระเจ้าชาห์เยฮันรักมากที่สุด พระนางสิ้นพระชนม์เพราะคลอดโอรสองค์ที่ 15 ซึ่งทำให้พระเจ้าชาห์เยฮัน เศร้าโศกมาก พระองค์จึงสร้างที่ฝังศพที่หญ่โตที่สุดในโลกขึ้นที่ริมแม่น้ำยมนา

สร้างระหว่างปี พ.ศ. 2173-2191 (ค.ศ. 1630-1648) เสียเวลาสร้างอยู่ 23 ปี ทกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลบริสุทธิ์ ตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซีย โดยสถาปนิก อุสตาด ไอสา (Ustad lsa) มีผู้ร่วมสร้างเป็น ผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน วัตถุในการก่อสร้าง คือ หินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลือง จากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียรไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 50,000,000 เหรียญอเมริกัน หรือ ประมาณ 1,000,000,000 บาท

ซึ่งได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วน และ วิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร(130 ฟุต) ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร(200 ฟุต) มีโดมเล็กๆ เป็นหสูงอยู่ทั้ง 4 มุม ภายในประดับด้วย หินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตาแทรกเสริมด้วย พลอยสี ทับทิม และนิล ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ศพจริงๆ ไม่ได้บรรจุอยู่ในหีบ หากฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั้น ภายหลังที่สร้างทัชมาฮัล ซาร์เจฮันใฝ่ฝันที่จะสร้าง ที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆ แต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี พ.ศ.2209 (ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้

ทัชมาฮัลเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าสร้างขึ้นมาได้อย่างเหมาะสมสวยงามน่ามหัศจรรย์

สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน






ชื่อสถานที่

สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
: The Hanging Gardens of Babylon
สถานที่ตั้ง กลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ประเทศอิรัก
ปัจจุบัน ทั้งสวนและผนังดังกล่าวทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือซากแล้ว


ระหว่างในรัชสมัยของพระเจ้านาโบโปลัซซาร์และพระโอรส คือ พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ที่สอง ปกครองบาบิโลนซึ่งได้ขยายแสนยานุภาพออกไปมากมายจนรุ่งเรือง พระเจ้านาโบโปลัซซาร์ทรงโปรดให้ สร้างกำแพงมหึมาล้อมรอบมือง และโอรสก็ทรงดำเนินโครงการต่อ สร้างป้อมปราการและจุดป้องกันต่าง ๆ รอบกำแพง มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำยูเฟรตีส

พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ โปรดให้สร้างสวนลอยซึ่งมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วจนกลายเป็น สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลกสวนลอยนี้ เป็นสวนที่สร้างอยู่เหนือพื้นดินบนพื้นที่กึ่งทะเลทราย พระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์ ทรงสร้างให้พระมเหสีซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งมีดส์ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดี ร่วมกันขับไล่พวกอัสซีเรียออกไปได้ ตามตำนาน พระราชินีเซมีรามิส องค์นี้ทรงอาลัยอาวรณ์ ภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาเปอร์เซีย อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนและไม่โปรดความราบเรียบของนครบาบิโลน ดังนั้นจึงมีการสร้างสวนลอยขึ้นเป็นภูเขาซึ่งสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

สวนลอยแห่งนี้สร้างเมื่อประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล โดยก่อเป็นเนินสูงซ้อนกันเป็นชั้นสูง ๆ สูงถึง 328 ฟุต หรือ 100 เมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงแข็งแกร่งหนาถึง 23 ฟุต หรือ 7 เมตร แต่ละชั้น สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และ ปลูกดอกไม้ พืชพันธุ์ต่าง ๆ ไว้จำนวนมาก พันธ์พฤกษ์สารพัดชนิดจากทุกมุมโลก รวมทั้งไม้ดอกและไม้เลื้อย บันไดที่พาขึ้นไปสู่สวน กว้างขวางทำด้วยหินอ่อนข้างใต้บันไดมีซุ่มคอยรับน้ำหนัก ข้างบนเฉลียงของสวนลอยมีถังน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงน้ำพุ น้ำตก และสายน้ำต่าง ๆ บนสวนลอย น้ำจำนวนมากมายนี้ สูบมาจากแม่น้ำยูเฟรติสโดยทาส โดยชักน้ำจากเบื้องล่างขึ้นไปสู้ชั้นสูงสุดแล้วปล่อยให้ ไหลลงมาสู่ชั้นต่าง ๆ เบื้องล่าง

พ่อค้าวาณิชที่เดินทางในทะเลทรายมาสู่เมืองนี้ จะได้เห็นสวนลอยแห่งนี้อยู่สูงเด่นเห็นแต่ไกล จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่ากรุงบาบิโลน อยู่ในเมืองแบกแดก ของประเทศอิรักปัจจุบัน นับว่าคนสมัยนั้นมัความสามารถทางด้านสถาปัตย์และวิศวกรรมศาสตร์อย่างน่ายกย่อง จึงสามารถรักษาสวนลอยนี้ให้สวยงามเขียวชอุ่มได้ตลอดเวลา หลังจากพระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์สิ้นพระชนม์ลงได้ 22 ปี อาณาจักรนี้ก็ตกเป็นของจักรพรรดิไซรัสมหาราช แห่งเปอร์เชีย สันนิษฐานกันว่า สวนลอยแห่งบาบิโลนนี้ ยังคงอยู่คู่เมืองจนถึงวศรรตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล

ปัจจุบันนี้ส่วนที่หลงเหลืออยู่ให้เราได้ชมก็คือบ่อน้ำและโค้งซุ้มประตูหนึ่งหรือสองอัน และนิยาย คำร่ำลือสืบต่อ ๆ กันมา

อารยธรรมอียิปต์






อารยธรรมที่เก่าแก่และรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่งของโลกคือ อาณาจักรอิยิปต์โบราณชาวอิยิปต์มีพัฒนาการทางวิชาการที่ก้าวหน้ามีการ สร้างสรรสิ่งก่อสร้างและศิลป โดยสถาปนิก จนเป็นที่เลื่องลืองานศิลปที่สำคัญได้แก่ การแกะสลักและงานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ชาว อิยิปต์ได้พัฒนาศาสตร์ในสาขาต่างๆ ทั้งเรื่อง ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ การแพทย์ และงานสร้างสรรรูปวาดทั้งที่วาดบนฝาผนัง หรือ แผ่นพาไพรัส (papyrus) ผลงานที่จารึกบนแผ่นพาไพรัสมีชื่อเสียงเลื่องลือและเป็นที่บันทึกประวัติศาสตร์ได้ดี


1. แหล่งที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมของแหล่งอารยธรรมอียิปต์

ชื่อแหล่งอารยธรรม
อารยธรรมลุ่มน้ำไนล์หรืออารยธรรมอียิปต์

สถานที่ตั้งในอดีต
บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ อยู่บนสองฟากฝั่งแม่น้ำไนล์ มีพรมแดนธรรมชาติ ทิศเหนือคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกคือทะเลแดง ทิศใต้คือประเทศนูเบียหรือซูดานในปัจจุบัน ส่วนทิศตะวันตกคือทะเลทรายซะฮาราอียิปต์โบราณประกอบด้วยบริเวณสองแห่งคืออียิปต์บน (Upper Egypt) และอียิปต์ล่าง (Lower Egypt)

สถานที่ตั้งในปัจจุบัน
บริเวณประเทศอียิปต์ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกาอียิปต์บน (Upper Egypt) อยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำไนล์ระหว่างเขื่อนอัสวันและกรุงไคโรในปัจจุบันและอียิปต์ล่าง (Lower Egypt) อยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ

ลักษณะภูมิประเทศของแหล่งอารยธรรม
บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์เป็นบริเวณที่มีการไหลบ่าของแม่น้ำท่วมสองฝั่งในเดือนสิงหาคม ถึงตุลาคมเป็นประจำทุกปี เมื่อน้ำลดโคลนตมที่พัดพามาจะตกตะกอนเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำไนล์นี้ ทำให้ชาวอียิปต์โบราณรวมตัวกันอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำร่วมแรงร่วมใจกันสร้างระบบชลประทานเพื่อป้องกันน้ำท่วม มีการสร้างทำนบกั้นน้ำ ขุดคูน้ำไปยังพื้นที่ที่ห่างไกล เกิดการรวมตัวของบ้านเรือนและพัฒนาเป็นนครรัฐ จนในที่สุดมีการรวมตัวเป็นอาณาจักรใหญ่ 2 แห่ง คือ อียิปต์บน (Upper Egypt) อยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำไนล์ระหว่างเขื่อนอัสวันและกรุงไคโรในปัจจุบัน โดยแม่น้ำไนล์ไหลผ่านหุบเขา มีความยาวประมาณ 500 ไมล์ ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์ตอนนี้เป็นหน้าผาลาดกว้างไปจนสุดสายตา เต็มไปด้วยเนินเขาที่แห้งแล้ง มีเนินทรายสีแดงและสีเหลืองเป็นตอนๆ และอียิปต์ล่าง (Lower Egypt) ที่แม่น้ำไนล์แตกสาขาออกเป็นรูปพัดไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณนี้ชาวกรีกโบราณเรียกว่า เดลต้า เป็นบริเวณปลายสุดของลำน้ำมีความยาวประมาณ 200 ไมล์ และกว้างระหว่าง 6-22 ไมล์ อารยธรรมโบราณของอียิปต์ได้เจริญขึ้นในบริเวณแถบเดลต้านี้
นักประวัติศาสตร์กรีกท่านหนึ่งคือ เฮโรโดตัส (Herodotus:484-425 B.C.) กล่าวถึงอียิปต์ว่าเป็น a gift of the Nile เพราะถือว่าแม่น้ำไนล์นั้นคือหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงประเทศอียิปต์ เพราะตามปกติอียิปต์เป็นดินแดนกันดารฝน มีอากาศร้อนและแห้งแล้ง เพราะล้อมรอบด้วยทะเลทราย มีฝนตกเพียงเล็กน้อยในฤดูหนาวและตกเฉพาะบริเวณเดลต้า อียิปต์จึงได้อาศัยความชุ่มชื้นจากแม่น้ำไนล์ ได้รับการหล่อเลี้ยงจากแม่น้ำไนล์ซึ่งได้รับน้ำอันเกิดจากหิมะละลาย และฝนในฤดูร้อนจากภูเขาในอบิสสิเนีย น้ำจะไหลบ่าลงมาตามแม่น้ำ ในราวกลางเดือนสิงหาคมจนถึงตุลาคมทุกปี ทำให้สองฝั่งแม่น้ำไนล์จมอยู่ใต้น้ำเป็นบริเวณกว้าง เมื่อน้ำลดโคลนตมที่น้ำพัดพามาไว้บริเวณสองฟากฝั่งแม่น้ำ จะตกตะกอนเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ความอุดมสมบูรณ์ ลุ่มแม่น้ำไนล์ได้มาจากตะกอนโคลนตมอันอุดมด้วยปุ๋ยซึ่งน้ำที่ท่วมประจำปีนำมาทิ้งไว้ ฉะนั้น ถ้าขาดแม่น้ำไนล์เสียอียิปต์ก็จะกลายเป็นทะเลทรายที่ร้อนระอุด้วยเหตุที่แม่น้ำไนล์ให้ความอุดมสมบูรณ์นี้อารยธรรมของอียิปต์จึงเป็นอารยธรรมที่เกิดจากการเกษตรกรรม นอกจากนี้ยังมีการร่วมแรงกันสร้างระบบชลประทานเพื่อป้องกันน้ำท่วม สร้างทำนบกั้นน้ำ ขุดคูน้ำไปยังดินแดนที่ห่างไกลออกไป


สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ทั้งหลายที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้กษัตริย์อียิปต์สามารถรวบรวมและปกครองดินแดนทั้งหมด ไว้ได้อย่างมั่นคงตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ปัจจัยดังกล่าวได้แก่

(1) การที่อิยิปต์ล้อมรอบด้วยทะเลทรายทั้งทางทิศตะวันตก และทิศตะวันออกตลอดจนการที่แม่น้ำไนล์มี แก่งโจน(Catarats) ตั้งแต่ปากน้ำจนสุดสายแม่น้ำซึ่งยาวประมาณ 700 ไมล์ ช่วยป้องกันการแทรกซึมของพวกลิเบียจากทะเลทรายทางทิศตะวันตก หรือพวกเอเซียทางทิศตะวันออกและพวกนูเบียจากทิศใต้ ทำให้เป็นการยากแก่ศัตรูภายนอกที่จะเข้ารุกราน มีทางเดียวเท่านั้นที่ศัตรูจะเข้ามารุกรานอียิปต์ได้คือเดลต้าที่เชื่อมทวีปอัฟริกากับเอเซียคือตรงบริเวณทะเลแดง แต่ก็ป้องกันได้ง่าย
2. แม่น้ำไนล์เปรียบเสมือนกระดูกสันหลัง และระบบประสาทในการรวมดินแดนเป็นรัฐที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำที่เรือแพล่องไปมาได้สะดวก โดยอาศัยการควบคุมการเดินเรือในแม่น้ำไนล์ ผู้ปกครองก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชน และการถ่ายเทของสินค้าได้โดยอัตโนมัติ และอาศัยแม่น้ำไนล์เป็นเส้นทางคมนาคม สำหรับการเดินเรือไปเก็บภาษีอากรจากประชาชนตลอดจนเป็นเส้นทางเดินทัพ นอกจากนี้การที่เขตอุดมสมบูรณ์จำกัดอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์เป็นแนวยาวตามสองฟากฝั่งทำให้ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณนี้ก็ยังเอื้อให้การปกครองประชาชนเป็นไปโดยง่าย
ความอุดมสมบูรณ์อย่างสม่ำเสมอที่อียิปต์ได้รับจากแม่น้ำไนล์ ด้วยเหตุนี้นักภูมิศาสตร์ จึงเรียกอียิปต์ว่า ดอกผลแห่งแม่น้ำไนล์ (Gift of the Nile) ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นปราการป้องกันศัตรูจากภายนอกทำให้ชาวอียิปต์โบราณมีความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัย
3. การที่แม่น้ำไนล์ท่วมฝั่งทุกปี ทำให้ประชาชนที่เข้าอยู่บริเวณนี้ต้องพยายามหาทางที่จะเอาชนะธรรมชาติจึงเกิดความร่วมมือกันทำงาน เช่น มีการชลประทาน มีการขุดคูส่งน้ำ เมื่อมีคนมาอยู่มากก็ต้องมีรัฐบาลปกครองเพื่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุข นอกจากนี้ความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับจากแม่น้ำไนล์ก็ยังมีส่วนทำให้ชาวอียิปต์มีจิตใจที่จะคิดค้นและสร้างสมศิลปวัฒนธรรมและวรรรณคดีต่างๆ
2. ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของอารยธรรมที่ศึกษา
อิทธิพลที่ส่งต่อมาสู่การก่อกำเนิดอารยธรรม
อิทธิพลที่ส่งผลต่อมาสู่การก่อกำเนิดอารยธรรม คือ ดินแดนนี้เป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ เมื่อราวหนึ่งหมื่นปีก่อน ทะเลทรายซาฮารายังเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าและพืชพรรณนานาชนิด ในท้องทุ่งอุดมไปด้วยสัตว์ป่าอย่างช้างและแอนทีโลป มนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ในช่วงแรกดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์ และทำปศุสัตว์จวบจนกระทั่งเมื่อราวเจ็ดพันปีก่อนการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ซาฮารา ค่อยๆแห้งแล้ง และกลายเป็นทะเลทรายในท้ายที่สุดก็เหลือแต่เพียงพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำไนล์เท่านั้นที่ยังคงความสมบูรณ์อยู่ และเนื่องจากทุกปีแม่น้ำไนล์จะพัดเอา ตะกอนหน้าดินมาถมฝั่ง ทำให้พื้นดินแห่งนี้มีความอุดม สมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนเริ่มอพยพจากพื้นที่รอบนอกเข้ามาจับจองพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและเริ่มมีการเพาะปลูกขึ้น เผ่าชนเหล่านี้มาอาศัย รวมกันตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์และแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ เรียกว่าโนมส์
เผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจเหนือดินแดนเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจเหนือดินแดนของอารยธรรมอียิปต์ คือ โนมส์ ในแต่ละโนมส์จะปกครองโดยกลุ่มนักบวชซึ่งพัฒนามาจากหมอผีในสมัยหินใหม่ ต่อมาความจำเป็นในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ทำให้ต้องมีการจัดระบบชลประทานขึ้น หัวหน้ากรรมกรผู้ควบคุมการ ชลประทานเหล่านี้ได้ถูกยกย่องให้เป็นหัวหน้านักรบของโนมส์ เมื่อขนาดของชุมชนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆก็มีการพัฒนาเป็นนครรัฐขนาดเล็กกระจัดกระจายตาม ริมฝั่งแม่น้ำดินแดนของแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์เป็น อียิปต์บนและอียิปต์ล่าง
ลำดับเหตุการณ์พัฒนาการของอารยธรรม
กำเนิดแห่งอาณาจักร

ความเป็นมาแต่แรกของอียิปต์โบราณนั้นไม่รู้จักกระจ่างนัก รู้แต่เพียงว่าดินแดนอียิปต์
โบราณถูกยึดครองโดยชาว ลิบยานทางตะวันตกเฉียงเหนือ เซมิติคทางตะวันออกเฉียงเหนือ และ
นิโกรทางใต้ ประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
1. สมัยก่อนราชวงศ์ (The Predynastic Period)
2. สมัยราชวงศ์ (The Dynastic Period)
3. สมัยภายใต้การปกครองของผู้รุกราน (The Period of Invasion)

1. สมัยก่อนราชวงศ์
เป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 4,500-3,110 B.C. ในสมัยนี้ชาติอียิปต์โบราณยังไม่มี แต่ชาวอียิปต์โบราณได้เข้าตั้งมั่นบริเวณลุ่มน้ำไนล์แล้ว มีการรวมตัวเป็นกลุ่ม มีหัวหน้าเป็นผู้นำด้านการปกครองและสังคม ขณะเดียวกันมักแย่งชิงดินแดนซึ่งกันและกัน ในที่สุดดินแดนทั้งสองฝั่งของลุ่มแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
1. อียิปต์บน หรืออียิปต์ตอนใต้ (The Uppe Egypt or The Southern Egypt or The Narrow Valley) หมายถึงดินแดนอียิปต์ตอนใน บริเวณดังกล่าวเป็นป่าทึบและเกาะแก่งน้ำตก พื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ผู้คนอยู่บางเบา
2. อียิปต์ล่าง หรืออียิปต์ทางตอนเหนือ (The Lower Egypt of the Northen Egypt or The Nite Deits) หมายถึงดินแดนอียิปต์ตอนนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณดินแดนตอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์นั้นพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูกผู้คนอยู่หนาแน่นความเจริญเท่าที่ปรากฎในช่วงนี้คือ ความเจริญทุกอย่างของมนุษย์ที่สามารถทำได้ในยุคหิน รวมถึงรู้จักการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์และการชลประทาน

2. สมัยราชวงศ์
เป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 3100-940 B.C. ในสมัยนี้ชาติอียิปต์โบราณได้ก่อตั้งขึ้นและผู้นำชาวอียิปต์โบราณเป็นผู้ดำเนินการปกครองดินแดนอียิปต์เองเป็นส่วนใหญ่ สมัยราชวงศ์แบ่งออกเป็นสมัยย่อยได้ ดังนี้
2.1) สมัยต้นราชวงศ์ (The Protodynastic Period)
2.2) สมัยอาณาจักรเก่า (The Old Kingdom)
2.3) สมัยอาณาจักรกลาง (The Middle Kingdom)
2.4) สมัยอาณาจักรใหม่ หรือสมัยจักรวรรดิ (The New Kingdom or the Empire Age)
2.1 ) สมัยต้นราชวงศ์ (3110-2,665 B.C.)
อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 1-2 เริ่มจากการแบ่งแยกดินแดน ในราว 3200ปีก่อนคริสตกาล ราชาแมงป่อง (Scorpion king) ผู้ครองนครธีส (This) อันตั้งอยู่บริเวณตอนกลางแห่งลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ เข้ายึดครองนครรัฐต่างๆในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน ราชาแมงป่องปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกันแต่พระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์(ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มีแสดงว่าทั้งสองพระองค์น่าจะเกี่ยวดองกัน)นามว่า นาเมอร์(Namer)ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของ ฟาโรห์เมเนส(Menese)อียิปต์โบราณสิ้นสุดลงโดยความสามารถของพระองค์ สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จในปี 3110 B.Cและ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์(Pharaoh)พระองค์แรกของราชอาณาจักรอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส (Memphis) ในอียิปต์ล่าง ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ฟาโรห์เมเนสเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่หนึ่งของอียิปต์โบราณ
แม้จะรวมดินแดนเข้าเป็นผืนเดียวกันก่อตั้งเป็นชาติขึ้น แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ยังนิยมเรียกชาติตนครั้งนั้นว่า Land of Two Lands หลักฐานประวัติศาสตร์ในสมัยนี้มีน้อยมาก
2.2) สมัยอาณาจักรเก่า (2225-2180 B.C.)
อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 3-6 สมัยนี้บางครั้งถูกเรียกว่า สมัยปิรามิด (The Pyramid Age) เพราะเกิดการสร้างปิรามิดขึ้นเป็นครั้งแรก และมีปิรามิดเกิดขึ้นมากกว่า 20 แห่ง ปิรามิดแห่งแรกสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์โจเซอร์ ในราชวงศ์ที่ 3 ที่เมืองสควารา และเพราะมีวิทยาการใหม่ ศิลปกรรม และสถาปัตยธรรมเจริญมากในราชวงศ์ที่ 4 ประจวบกับกษัตริย์มีอำนาจในการปกครองเป็นผลให้เกิดปิรามิดใหญ่ที่สุดขึ้น ปิรามิดอันนี้เป็นของกษัตริย์คูฟุ (Khufu) อยู่ที่เมือง กีซา (Giza) สมัยอาณาจักรเก่าสิ้นสุดลง ในราชวงศ์ที่ 6 เพราะกษัตริย์ไร้ความสามารถในการปกครองและการรบ ความทะเยอทะยานแย่งชิงอำนาจของขุนนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขุนนางที่เรียกว่าโนมาร์ซ (Nomarch) เป็นผลให้เป็นเวลาร่วมสองศตวรรษที่อียิปต์โบราณต้องวุ่นวายเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นบ่อยครั้งและต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกขุนนางช่วงดังกล่าวนี้เรียกว่า ช่วงขุนนางปกครองครั้งที่หนึ่ง
ช่วงขุนนางปกครองครั้งที่1 (The First Federal 2180-2052 B.C.)เป็นช่วงระหว่างปลายสมัยอาณาจักรกลาง ในช่วงนี้ขุนนางมีอำนาจตั้งราชวงศ์ที่ 7-11 ปกครองอียิปต์โบราณ กล่าวคือที่เมืองธีปส์ (Thebes) ในอียิปต์บน ได้เป็นศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์ที่ 7 และที่ 8 ต่อมาขุนนางที่เมืองเฮราเคบโอโปลิส (Herclepopolis) ในอียิปต์ล่างได้ตั้งราชวงศ์ที่ 9-10 ขึ้น ขณะที่อยู่ในราชวงศ์ที่ 10 (2100-2052 B.C.) ปรากฎว่าได้มีการจัดตั้งราชวงศ์ที่ 11 (2134-1999 B.C.) ขึ้นที่เมืองธีปส์ควบคู่กันขึ้นมา เป็นผลทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจและดินแดนกัน
2.3) สมัยอาณาจักรกลาง (2052-1786 B.C.)
อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 11 ตอนปลายกับราชวงศ์ที่ 12 เริ่มด้วยกษัตริย์เมนตูโฮเต็ปที่ 2 (Mentuhotep 2) กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ที่ 11 แห่งธีปส์ปราบปรามขุนนางได้และรวบรวมดินแดนอียิปต์โบราณเข้าด้วยกัน ทรงฟื้นฟูการค้าและสภาพแวดล้อม เวลาส่วนใหญ่ของสมัยอาณาจักรกลางอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 12 กษัตริย์ที่สามารถคือ อเมเนมฮัสที่ 1 (Amenemhat) ทรงเก่งในการรบและทรงฟื้นฟูการค้ากับฟินิเซียน
2.4) สมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ (1554-1090 B.C.)
อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 18-20 มีธีปส์เป็นเมืองหลวง จักรวรรดิ์อียิปต์โบราณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเพราะกษัตริย์เก่งในการรบ การปกครอง อียิปต์โบราณต้องทำสงครามยาวนานกับฮิตไตท์ พระให้การสนับสนุนกษัตริย์ อำนาจของขุนนางหมดไป ในสมัยนี้อียิปต์โบราณมีนโยบายรุกรานชุมชนใกล้เคียงมุ่งขยายอำนาจและการป้องกันการรุกรานของศัตรูภายนอก ดินแดนอียิปต์ขยายกว้างใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยนี้มีมากและแน่นอนกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา
ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของรามซีสที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 21ปรากฎว่าจักรวรรดิ์โบราณก็เริ่มเสื่อมลงเป็นลำดับเพราะกษัตริย์ไร้ความสามารถในการปกครองและการรบ ขุนนางก่อความวุ่นวายแย่งชิงอำนาจกันพระขึ้นปกครองอียิปต์ครั้งราชวงศ์ที่ 21 ขึ้นที่เมืองทานิส (Tanis) และอียิปต์ถูกรุกรานจากศัตรูภายนอก

3. สมัยภายใต้การปกครองของผู้รุกราน 940 B.C. เรื่อยมา
สมัยนี้ชนภายนอกปกครองอียิปต์โบราณเป็นระยะเวลายาวนานกล่าวคือ
3.1 ลิบยาน (Libyans) ปกครองระหว่าง 940-710 B.C. ตั้งราชวงศ์ที่ 22-24
3.2 เอธิโอเปียน (Ethiopians) ปกครองระหว่าง 736-657 B.C. ตั้งราชวงศ์ที่ 25
3.3 อัสซีเรียน (Assyrians) ปกครองระหว่าง 664-525 B.C.
3.4 เปอร์เซียน (Perians) ปกครองระหว่าง 525-404 B.C.
3.5 เปอร์เซียนปกครองอียิปต์ครั้งที่สองระหว่าง 341-332 B.C.
3.6 กรีก (Greeks) ปกครองระหว่าง 332-30 B.C.

การแบ่งชนชั้นในสังคมและระบบการปกครอง

การแบ่งชนชั้นในสังคม
สังคมอียิปต์โบราณเปรียบได้กับรูปสามเหลี่ยมจัดแบ่งออกได้เป็น 3 ชนชั้น 5 ระดับ
1. ชนชั้นสูง
- กษัตริย์และราชวงศ์ถูกกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุด กษัตริย์สามารถมีมเหสีและสนมได้มากมาย ตลอดจนสนมอาจเป็นพี่สาวหรือน้องสาวร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกับมนุษย์
- พระและขุนนาง มีบทบาททางด้านศาสนาและการปกครอง ชนทั้งสองกลุ่มนี้จัดเป็นชนชั้นสูงรองจากกษัตริย์
2.ชนชั้นกลาง
- พ่อค้า เสมียน ช่างฝีมือและศิลปิน
3. ชนชั้นต่ำ
- พวกชาวนา ผู้ใช้แรงงาน ชาวนาซึ่งจัดเป็นชนชั้นต่ำส่วนใหญ่ของดินแดนสภาพของชาวนาอยู่ในรูปข้าติดที่ดิน ชาวนาเป็นกำลังสำคัญในกองทัพและเป็นแรงงานหลักในการสาธารณประโยชน์
- ทาส เป็นชนชั้นต่ำสุดถูกกวาดต้อนมาภายหลังพ่ายแพ้สงคราม

ระบบการปกครอง
ลักษณะการปกครองเป็นแบบเทวธิปไตย (Theocracy) อยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์องค์เดียว กล่าวคือ ฟาโรห์มีฐานะเป็นโอรสของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คือสุริยเทพ เร หรือรา ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพระเป็นการรวมศาสนจักรและอาณาจักรเข้าด้วยกัน เป็นผู้บัญชาการกองทัพและบัญชาการทางด้านพลเรือนผู้ปกครองอ้างดำเนินการปกครองในนามหรืออาศัยอำนาจของเทพเจ้าเพื่อใช้ในการปกครองกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการปกครองได้แก่
1. กษัตริย์หรือฟาโรห์ (Pharaoh) ฟาโรห์ เป็นผู้ที่ชาวอียิปต์โบราณยอมรับว่าเป็นเทพเจ้าและเป็นกษัตริย์ในเวลาเดียวกัน หน้าที่ของฟาโรห์คือเป็นผู้นำทางการปกครองและศาสนา กฎ ระเบียบ ข้อบังคับในการปกครองเกิดจากการกำหนดขึ้นของกษัตริย์ผู้เป็นเจ้าของชีวิตของชาว
อียิปต์โบราณ
2. ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือวิเชียร (Vizier) เป็นตำแหน่งใช้เรียกผู้บริหารที่สำคัญรองจากกษัตริย์ ตำแหน่งนี้ในสมัยราชวงศ์ต้นสงวนเฉพาะสำหรับราชโอรส แต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงตกทอดแก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และมีการสืบทอดแก่คนในตระกูลเดียวกัน
3. ขุนนาง (Noble) ทำหน้าที่รับผิดชอบหน่วยงานที่สำคัญ เช่น ในการเก็บภาษีและการชลประทาน เป็นต้น
4. ขุนนางมณฑลหรือผู้ว่าการมณฑลหรือโนมาร์ซ (Nomarch) เป็นตำแหน่งข้าหลวงประจำตามมณฑลหรือเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวง มณฑลหรือเขตนั้นเรียกว่านอม (Nome)ขุนนางประเภทนี้มักก่อกบฎว่าวุ่นวายและเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อาณาจักรสมัยต่างๆ ในอดีตต้อง
เสื่อมลง
นอกจากฟาโรห์แล้ว บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดคือหัวหน้านักบวชของสุริยเทพ รา ซึ่งเป็นจอมเทพสูงสุด ในการบริหารงาน ฟาโรห์จะมีคณะเสนาบดีที่นำโดย วิเซียร์ (Vizier) ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางสำคัญ เป็นผู้ช่วย และส่งข้าหลวง (Nomarch) ไปทำหน้าที่ปกครองหัวเมืองต่างๆ โดยขึ้นตรงต่อองค์กษัตริย์ ในยุคอาณาจักรเก่านี้ อียิปต์ไม่มีกองทหารประจำการ แต่จะเกณฑ์พลเมืองเข้ากองทัพเมื่อเกิดสงคราม

แนวความคิดหรือความเชื่อของประชาชนในสังคม
1.การนับถือเทพเจ้า
เดิมทีก่อนการรวมแผ่นดิน หัวเมืองต่างๆทั้งในอียิปต์บน และ ล่าง ต่างนับถือเทพต่างๆกันต่อมาเมื่อรวมแผ่นดินแล้วก็ยังคงความเชื่อแบบพหุเทวนิยม อยู่ โดยมี รา (RA) เป็นเทพสูงสุด ชาวอียิปต์เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้สร้างโลกและสวรรค์รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง นอกจาก รา แล้ว เทพที่ชาวอียิปต์นับถือกันมากได้แก่ โอซิริส เทพแห่งยมโลกผู้มีหน้าที่ตัดสินดวงวิญญาณ , เทพีไอซิสเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ,เซ็ท เทพแห่งสงคราม ,ฮาธอร์เทพีแห่งความรัก และฮอรัส เทพผู้เป็นตัวแทนของฟาโรห์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีเทพอื่นๆที่ถือเป็นเทพเจ้าประจำแต่ละเมือง
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ เพราะความหวาดกลัวเชื่อและบูชาในปรากฎการณ์ธรรมชาติทำให้ชาวอียิปต์โบราณกำหนดเทพเจ้าขึ้นมากมาย ลักษณะเทพเจ้าในช่วงแรกนั้นมีรูปร่างเป็นสัตว์มากกว่ามนุษย์ ต่อมาได้มีการพัฒนารูปร่างเทพเจ้าให้ดีขึ้น แต่เพราะชาติอียิปต์โบราณเกิดจาการรวมตัวของหลายชุมชน ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้เทพเจ้าของอียิปต์โบราณมีมากมายหลายองค์เทพเจ้าที่สำคัญคือ
-เทพเจ้าอะมอน-เร (Amon-Re)มีสัญลักษณ์ คือ หินที่มีรูปร่างคล้ายพิระมิด เป็นเทพเจ้าที่สูงสุดในมวลเทพเจ้าทั้งหลาย ของอียิปต์โบราณ เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและชีวิต ชื่อเทพเจ้าองค์นี้เกิดจากการนำเทพเจ้าอะมอนซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งอากาศและความอุดมสมบูรณ์ของเมืองธีปส์ มารวมกับเทพเจ้าเรซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ของเมืองเฮลิโอโปลิส ได้เป็นเทพเจ้าอะมอน-เร ผู้ทรงพลังและอิทธิฤทธิ์
-เทพเจ้าโอซิริส (Osiris) เป็นเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำไนล์ เทพเจ้าแห่งความตาย และเทพเจ้าแห่งการตัดสินภายการตายเพื่อการเข้าสู่ภายหน้า เชื่อว่าเป็นเทพผู้นำความอุดมสมบูรณ์
-เทพเจ้าไอริส (Isis) คือ เทพีผู้เป็นมเหสีของเทพเจ้าโอซิริส เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์
-เทพเจ้าโฮรัส (Horus) เป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ของชาวอียิปต์โบราณแถบดินแดนสามเหลี่ยม
ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่าเทพเจ้าแต่ละองค์ควรมีสัตว์ไว้คอยรับใช้ดังนั้นจึงมีการสมมติสัตว์รับใช้ดังกล่าวให้เทพเจ้า เช่น แกะตัวผู้เป็นสัตว์รับใช้ของเทพเจ้าอะมอน-เร เป็นต้น สำหรับเรื่องการบวงสรวงนั้นพระเป็นผู้ประกอบพิธี และได้รับค่าจ้างตอบแทน
นอกจากนั้นชาวอียิปต์ยังเชื่อว่าฟาโรห์ทุกพระองค์คือสุริยเทพ แบ่งภาคมาจุติในรูปของมนุษย์ และเมื่อตายจะเข้าไปรวมเป็นส่วนเดียวกับเทพโอซีริส ส่วนคนที่ตายไปแล้วจะต้องไปพบกับยมเทพ ดังนั้น จึงต้องมีคัมภีร์มรณะ (Book of Dead) ให้กับคนตาย
ทัศนะเกี่ยวกับเทพเจ้าดังกล่าวนำไปสู่การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่มหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ที่สุดคือ พีระมิด(Pyramid) ความคิดที่ว่าฟาโรห์คือเทพเจ้าทำให้เกิดความเชื่อว่าฟาโรห์ คือ ผู้ที่อมตะหรือผู้ที่ไม่ตาย ดังนั้น พวกเขาจึงเก็บรักษาร่างกายไว้มิให้เน่าเปื่อยผุพัง วิญญาณของฟาโรห์จะคงอยู่ตลอดไป

2.ความเป็นอมตะของวิญญาณ
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อในความเป็นอมตะของวิญญาณ คำตัดสินครั้งสุดท้ายและโลกหน้า ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าภายหลังความตายที่ทำความดีจะฟื้นขึ้นมาและเข้าพำนักในโลกหน้าซึ่งน่าอยู่และอุดมสมบูรณ์เช่นอียิปต์ จากความเชื่อนี้ทำให้เกิดการเก็บรักษาไว้เรียกว่า มัมมี่ (Mummy) มัมมี่นิยมทำเฉพาะกับกษัตริย์ คนธรรมดาจะฝังเท่านั้น มัมมี่จะถูกนำไปวางลงในหีบศพพร้อมม้วนกระดาษรู้จักในนามคัมภีร์ผู้ตาย (Book of the Dead)คัมภีร์ผู้ตายที่ถูกต้องนั้นต้องเขียนโดยพระ ข้อความในคัมภีร์นั้นล้วนชี้แจงว่าผู้ตายกระทำดีเป็นหลักในโลกมนุษย์ทำชั่วบ้างเล็กน้อย เทพเจ้าโอซิริสเป็นผู้พิจารณาและดำเนินการตัดสินครั้งสุดท้ายถึงการให้วิญญาณดังกล่าวเข้าสู่โลกหน้าที่สมบูรณ์ได้หรือไม่ หีบศพและสมบัติของผู้ตายจะถูกนำวางไว้สุสานหินเรียก ปิรามิด (Pyramid) สฟิงค์ (Sphinx) เป็นสัตว์ประหลาดที่แกะสลักจากหินนำวางไว้หน้าปิรามิดเพื่อทำหน้าที่เฝ้าศพและสมบัติของผู้ตายที่บรรจุไว้ในปิรามิด

3.การนับถือศาสนา
ศาสนาของเทพเจ้าอะมอน-เร ศาสนาของเทพเจ้าอะมอน-เร เป็นศาสนาที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ (ความเชื่อแบบพหุเทวนิยม) โดยมี รา (RA) เป็นเทพสูงสุด ชาวอียิปต์เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้สร้างโลกและสวรรค์รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง นอกจาก รา แล้ว เทพที่ชาวอียิปต์นับถือกันมากได้แก่ โอซิริส เทพแห่งยมโลกผู้มีหน้าที่ตัดสินดวงวิญญาณ , เทพีไอซิสเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ,เซ็ท เทพแห่งสงคราม ,ฮาธอร์เทพีแห่งความรัก และฮอรัส เทพผู้เป็นตัวแทนของฟาโรห์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีเทพอื่นๆที่ถือเป็นเทพเจ้าประจำแต่ละเมือง การเข้าถึงเทพเจ้าทำได้โดยการทำสงครามหรือทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้า

ศาสนาของกษัตริย์อเมนโฮเต็ปที่ 4 ศาสนาของอะเมนโฮเต็ปที่ 4 มีจุดมุ่งหมายนำชาวอียิปต์โบราณให้พ้นจากความเชื่อในศาสนาอียิปต์โบราณที่บูชาในเทพเจ้าหลายองค์ (Polytheism) และมุ่งนำชาวอียิปต์โบราณให้พ้นจากอำนาจของพระ ศาสนาใหม่ของอะเมนโฮเต็ปกำหนดให้บูชาเฉพาะเทพเจ้าอะตัน (Aton) เพียงองค์เดียว ทรงสอนว่าเทพเจ้าอะตันเป็นเทพเจ้าสูงสุด ไม่มีตัวตนเป็นบิดาของมนุษย์ การเข้าถึงเทพเจ้าอะตันทำได้โดยสักการะด้วยดอกไม้ของหอมมิใช่ทำสงครามหรือทำพิธีบวงสรวงด้วยชีวิตสัตว์ ทรงสั่งปิดวิหารของเทพเจ้าทั้งหลายทรงปฎิเสธความเชื่อเรื่องการฟื้นจากความตายและโลกหน้า ทรงปฏิเสธการทำสงครามกับศัตรู เพราะทรงเชื่อว่าเทพเจ้าอะตันคือบิดาของมวลมนุษย์และการทำสงครามจะทำให้เทพเจ้าอะตันไม่พอใจ

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรม

การเสื่อมและการล่มสลายของอียิปต์ (ปีที่1075 - 332 ก่อน ค.ศ.)
หลังการสวรรคตของรามเสสที่2 และโอรสของพระองค์มเนปตาห์ ขึ้นครองราชย์ จักรวรรดิอียิปต์เริ่มส่อเค้าวุ่นวาย บรรดาเมืองขึ้นต่างๆ เช่นนูเบียและลิเบียได้ก่อกบฎขึ้นแต่โชคดีที่ทางอียิปต์สามารถปราบปรามลงได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองทางฝ่ายฮิตไตท์ประสบภาวะ แห้งแล้งขาดแคลนอาหารทำให้ทางอียิปต์ต้องส่งอาหารไปช่วยตามข้อตกลงที่มีในสมัยรามเสสที่2 หลังการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์มเนปตาห์อียิปต์ต้องพบกับปํญหาการเมืองภายใน ฟาโรห์แต่ละองค์ครองราชย์เพียงช่วงสั้นๆ จนมาถึงปีที่1186ก่อนค.ศ.ฟาโรห์รามเสสที่3 ขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่ม ทำให้ปัญหาการเมืองภายในหมดไป แต่ในช่วงที่อียิปต์เริ่มจะฟื้นตัวนั้นเหตุการณ์สำคัญก็ได้เกิดขึ้น

การรุกรานของชนทะเล (Sea people)
หลังการครองราชย์ของรามเสสที่3 ทางด้านเมดิเตอเรเนียนได้เกิดความวุ่นวาย เนื่องจากภาวะแห้งแล้ง ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการรุกรานและการอพยพจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ประชาชนจากเมดิเตอเรเนียนต้องอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม กลุ่มชนเหล่านี้ถูกเรียกว่าชาวทะเล(sea people) นักรบชาวทะเลเหล่านี้ประกอบด้วยคนเชื้อชาติต่างๆ เช่นไมซีเน่ อีเจียน ฟิลิสทีนแม้กระทั่งชาวซีเรียโดยพวกเขาได้เข้ารุกรานและทำลายบ้านเมืองต่างๆเรื่อยมา

นักรบชาวทะเลประกอบด้วยคนเชื้อชาติต่างๆ
สิ่งที่พวกนี้ต้องการ คือดินแดนใหม่ที่ อุดมสมบูรณ์ซึ่งพวกเขาจะตั้งถิ่นฐานได้ นอกจากนี้ชาวทะเลเหล่านี้ยังได้เข้าโจมตีและทำลายนครฮัตตูซัสเมืองหลวงของจักรวรรดิฮิตไตท์จน ราบคาบจากนั้นชาวทะเลจึงมุ่งหน้ามายังอียิปต์ดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำของโลกโบราณ และในปีที่1179 ก่อน ค.ศ. สงครามระหว่างชาวทะเลกับอียิปต์ก็เกิดขึ้น

ฟาโรห์รามเสสที่3 สามารถพิชิตกองทัพชาวทะเลได้ทั้งทางบกและทางน้ำ ทำให้สามารถปกป้องจักรวรรดิได้สำเร็จชื่อเสียงของพระองค์เลื่องระบือ หลังสงครามพระองค์ยังปราบปรามพวกลิเบียที่ก่อกบฎลงได้ ทำให้จักรวรรดิเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งแต่ทว่าสงครามที่ยาวนานทำให้อียิปต์สูญเสียกำลัง คนไปมากการค้าก็หดหายไปทำให้อียิปต์ขาดรายได้และท่ามกลาง ปัญหานี้เองรามเสสที่3 ก็สวรรคตลง

เหตุที่ทำให้อาณาจักรล่มสลาย
หลังการสวรรคตของรามเสสที่3 อียิปต์กลับสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง ทั้งจากปัญหาการเมืองและความอดอยาก ในที่สุดอียิปต์ก็แตกแยกกลายเป็นก๊กเป็นเหล่า บรรดาเมืองต่างๆตั้งตนเป็นอิสระ ชาวลิเบียซึ่งเป็นนักโทษสงครามของรามเสส ถือโอกาสตั้งตนเป็นอิสระผู้นำของพวกเขานามว่าโชชอง(Chochong) ได้เป็นฟาโรห์และรวบรวมแผ่นดินได้สำเร็จ แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆและบ้านเมืองก็เข้าสู่สภาพแตกแยกอีกครั้ง

จนกระทั่งในปีที่663 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์อัสซูบานิปาลแห่ง อัสสิเรีย ได้ยกกองทัพเข้ารุกรานอียิปต์ เมืองต่างๆถูกทำลาย ทรัพย์สมบัติถูกปล้นชิง และอียิปต์ก็ไม่อาจฟื้นตัวได้อีกต่อมาในปีที่525 ก่อนค.ศ. อียิปต์ก็ถูกปกครองโดยชาวเปอร์เซียและเมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย ซึ่งเป็นชนเชื้อชาติกรีกพิชิตเปอร์เซียลง อียิปต์ก็ตกเป็นของมาซีโดเนียในปีที่335 ก่อน ค.ศ.

อียิปต์ตกเป็นของมาซีโดเนีย
หลังการสวรรคตของอเล็กซานเดอร์จักรวรรดิมาซิโดเนียของพระองค์ล่มสลายลง เหล่าขุนศึกมาซีโดเนียต่างตั้งตนเป็นใหญ่ในดินแดนต่างๆที่พระองค์พิชิตมา นายพลปโตเลมีขุนศึกของพระองค์ก็ตั้งตนเป็นฟาโรห์และ ตั้งราชวงศ์ปโตเลมีซึ่งถือเป็นราชวงศ์สุดท้าย ขึ้นปกครองอียิปต์โดยมีเมืองหลวงที่อเล็กซานเดรีย

การรบที่แอคติอุม(Actium)
จนกระทั่งมาถึงปีที่ 36 ก่อน ค.ศ. พระนางคลีโอพัตราแห่งราชวงศ์ปโตเลมีพ่ายแพ้กองทัพโรมันที่แอคติอุม(Actium) และได้ปลิดชีวิตตนเองลงจากนั้นจักรวรรดิโรมันจึงผนวกอียิปต์เข้าเป็นส่วน หนึ่งของโรมและ นั่นคือการล่มสลายลงโดยสิ้นเชิงจากนั้นมา อียิปต์กลายเป็นเพียงมณฑลหนึ่งของโรมและกลายเป็นของจักรวรรดิไบเซนไทน์ในเวลาต่อมา และได้ถูกพวกมุสลิมเข้ายึดครองในภายหลัง


--------------------------------------------------------------------------------


3. ผลงานสำคัญที่เกิดจากการสร้างสรรค์อารยธรรมอียิปต์

อารยธรรมที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ เกิดขึ้นบนดินแดนของอียิปต์ที่อุดมสมบูรณ์จนได้ชื่อว่า “ของขวัญของลุ่มแม่น้ำไนล์” ซึ่งมีผลงานที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่
1.ด้านศิลปกรรม
ศิลปกรรมแรกเริ่มมุ่งเพื่อรับใช้ศาสนาโดยการวาดหรือปั้นรูปเทพเจ้า ชาวอียิปต์โบราณเป็นหนึ่งในกลุ่มนักสร้างถาวรวัตถุผู้ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณ ผลงานเกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์แขนงเรขาคณิตและคณิตศาสตร์บวกกับความสามารถและความชำนาญ ความสามารถและความเด็ดขาดของผู้นำ
1.1) ปิรามิด

(จากซ้าย) ปิรามิดไมซีรีนัส ปิรามิดคีเฟรน และ ปิรามิดคีออพส์ ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยม มีขนาดใหญ่โตและมีความสำคัญเทียบเท่าศาสนสถาน มีการตกแต่งด้วยภาพเขียนประติมากรรม เครื่องเรือน และของมีค่ามากมาย เป็นที่สำหรับเก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ และเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุด เดิมทีฟาโรห์จะสร้างห้องเก็บพระศพขนาดใหญ่เป็น สุสาน ต่อมาในสมัยของฟาโรห์โซเซอร์ แห่งราชวงศ์ที่สาม (2650ปีก่อน ค.ศ.) อิมโฮเทปที่ปรึกษาของฟาโรห์ ซึ่งเป็นนักปราชญ์และสถาปนิกที่มีความสามารถ ได้ทำการออกแบบ พีระมิดขั้นบันไดที่เรียกว่า มาสตาบา (Mastaba) ที่เมืองซักคาราขึ้น นอกจากเป็นผู้ออกแบบพีระมิดแล้ว อิมโฮเทปยังมีผลงานประพันธ์ต่างๆมากมายทั้งวรรณคดีและตำราเภสัชศาสตร์ ชาวอียิปต์รุ่นหลังนับถือเขาในฐานะเทพแห่งความรู้ หลังจากยุคของฟาโรห์โซเซอร์ ก็ได้มีการสร้างพีระมิดขั้นบันไดต่อมาและค่อยๆพัฒนากลายเป็นแบบสามเหลี่ยมมาสตาบา (Mastaba)
ปิรามิดในอียิปต์มีอยู่ 70แห่ง ด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า ( 29°58′45.25″N, 31°08′03.75″E) พีระมิดทั้งสามสร้างเรียงต่อกันเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกของกรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ปัจจุบัน
ปิรามิดทั้ง 3 แห่ง คือ
-ปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์[พระเจ้าคูฟู(Khufu or Cheops)] เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่ามหาปิรามิด สันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว คือสร้างเมื่อประมาณปี 2600 B.C. ใช้ก้อนหินประมาณ 2300,000 ก้อน แต่ละก้อนหนักกว่า 2 ตัน ใช้แรงงานคนสร้างถึง 100,000 คนสกัดหินทุกก้อนด้วยสิ่วและค้อนอย่างยากลำบาก ประณีตและชำนาญ ปิรามิดนี้สร้างบนเนื้อที่ประมาณ 12 เอเคอร์ หรือ 570,000 ตารางฟุต บริเวณฐาน ปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุต( 147เมตร)สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปีและ จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลก
-ปิรามิดคีเฟรน(Khafra) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาคีออพส์ปิรามิด เล็กกว่ามหาคีออพส์ปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว
-ปิรามิดไมซีรีนัส(Micerinus) เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง ฟาโรห์ไมซีรีนัส (Micerinus) โอรสของ ฟาโรห์คีเฟรน ขึ้นปกครองอียิปต์ได้สร้างพีระมิด ขึ้นเป็นหลังที่สามที่ความสูง 65.5 เมตร (ปัจจุบันคงเหลือความสูง 62 เมตร) ฐานแต่ละด้านกว้างประมาณ 105 เมตร และเอียงทำมุมประมาณ 51 องศา ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า แต่ก็ยังสูงประมาณอาคาร 18 ชั้น (เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.6 เมตร) สำหรับพีระมิดไมซีรีนัส นี้ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากนับตำแหน่งมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ ของพีระมิดไมซีรีนัส เป็นตำแหน่งอ้างอิง และหากพีระมิดไมซีรีนัส มีขนาดใหญ่ประมาณเท่ากับพีระมิดคีเฟรน มุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพีระมิดจะต่อกับมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของพีระมิดคีเฟรนพอดี และมีระยะห่างกันเท่ากับระยะระหว่างพีระมิดคีออปส์และคีเฟรน นั่นคือเป็นไปได้ว่าเดิมการก่อสร้างพีระมิดไมซีรีนัส อาจมีความตั้งใจสร้างให้มีขนาดเท่ากับพีระมิดแห่งกิซ่า 2 องค์ก่อนหน้า แต่ภายหลังได้ตัดสินใจก่อสร้างเป็นขนาดเล็กอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
1.2) สฟิงซ์

เป็นผลงานด้านประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่และรู้จักไปทั่วโลก มีลักษณะใบหน้าเป็นคน หัวเป็นสิงโตแกะ สลักบนหินก้อนใหญ่หมอบเฝ้าหน้าปิรามิด โดยหน้ามนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน
1.3) วิหารคาร์นัคแห่งเมืองธีปส์
วิหารนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นอาคารใหญ่สุดของอียิปต์โบราณ ยาว 338 ฟุต กว้าง 170 ฟุต ใช้เสาหินกลมสูง 79 ฟุต รองรับหลังคา
1.4) ภาพแกะสลัก (Sculpture)
ได้แก่ ภาพสฟิงซ์ที่หน้าปิรามิคของกษัตริย์คูฟู ลำตัวเป็นสิงโตหมอบมีความยาว 13 ฟุต กว้าง 8 ฟุต แกะสลักมาจากหิน
1.5) รูปปั้นหรือรูปหล่อ (Statue)
นิยมปั้นหรือหล่อเฉพาะครึ่งตัวบนของจักรพรรดิ์ เช่น รูปปั้นหรือรูปหล่อครึ่งตัวบนของพระนางฮัทเซฟซุทกษัตริย์ทัสโมสที่ 2 กษัตริย์อเมนโฮเต็ปที่ 4 และมเหสี กษัตริย์รามซีสที่ 2
1.6) ภาพแกะสลักฝาผนัง ภาพแกะสลักฝาผนังที่มีชื่อคือภาพการต่อสู้ของพระเจ้ารามซีสที่ 2 กับฮิตไตท์ที่วิหารคาร์นัค ภาพนี้ยาว 170 ฟุต
1.7) ภาพวาด ภาพวาดนี้นิยมวาดตามผนังและเพดานของวิหาร พระราชวัง และปิรามิด ภาพวาดจัดเป็นศิลปกรรมประเภทหนึ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะทำให้ชนรุ่นหลังได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสภาพสังคม การปกครอง การค้า การแต่งกาย และประเภทของเครื่องใช้เป็นต้น

2. ด้านการแพทย์
2.1) เกิดการเก็บศพในสุสานขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “มัมมี่” หลายพันปีมาแล้ว ชาวอียิปต์โบราณได้คิดค้นวิธีที่จะรักษาสภาพศพให้สมบูรณ์ เพื่อรอคอยการเกิดใหม่ของดวงวิญญาณ การทำมัมมี่จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์นี้คำว่า "มัมมี่" (Mummy) เชื่อกันว่ามาจากคำว่า มัมมียะ (Mummiya) คำในภาษาเปอร์เชียซึ่งหมายถึงร่างของศพที่ถูกทำให้มีสีดำมัมมี่มีส่วนชี้ให้เห็นถึงความสวยงามทางการแพทย์ของอียิปต์โบราณซึ่งแอ็ดวินสมิธเป็นผู้พบข้อความทั้งหมดถูกบันทึกไว้เมื่อประมาณปี 1600 ระบุแสดงความสามารถของแพทย์อียิปต์โบราณด้านการผ่าตัดกระโหลก ผ่าตัดกระดูกสันหลัง การวิจัยและรักษาโรคต่างๆ


มัมมี่อียิปต์
การทำมัมมี่: มัมมี่ถูกทำขึ้นในสมัยราชวงศ์ที่4 และมีเรื่อยมาจนถึงค.ศ.641 ชาวอียิปต์เชื่อว่าหลังจากที่มนุษย์ ตายไปแล้วดวงวิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิมจึงต้องเก็บร่างเอาไว้เพื่อรอรับการเกิดใหม่ในยุค อาณาจักรเก่าเชื่อว่ามีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่จะกลับมาคืน ร่างเดิมแต่ในสมัยต่อมาการทำมัมมี่ได้แพร่หลายสู่ขุนนางและสามัญชนแม้กระทั่งสัตว์ที่เป็นสัญลักณ์ ของเทพเจ้าในการทำมัมมี่ชาวอียิปต์จะเริ่มจากการนำศพของผู้ตายมาทำความสะอาด ล้วงเอาอวัยวะภายในออกโดยการใช้ตะขอที่ทำด้วยสำริดเกี่ยวเอาสมองออกทางโพรงจมูก แล้วใช้มีดที่ทำจากหินเหล็กไฟซึ่งมีความคมมาก กรีดข้างลำตัว เพื่อล้วงเอาตับ ไต กระเพาะอาหาร ปอดและลำไส้ออกจากศพ โดยเหลือหัวใจไว้สาเหตุที่ไม่เอาหัวใจออกจากร่างด้วยเพราะเชื่อกันว่าหัวใจเป็นศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณ อวัยวะภายในเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วยวัสดุประเภทขี้เลื่อย เศษผ้าลินิน โคลน และเครื่องหอม จากนั้นอวัยวะทั้งหมดจะถูกนำไปล้างด้วยไวน์ปาล์ม และนำไปผสมกับเครื่องหอมและทำให้แห้งด้วยสมุนไพรจากนั้น จึงนำไปดองในน้ำยานาตรอนประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะนำมาบรรจุลงในภาชนะสี่เหลี่ยม มีฝาปิด ที่รู้จักกันในชื่อของ " โถคาโนปิก(Canopic) " สี่ใบ
ส่วนศพจะนำไปชำระล้างใน แม่น้ำไนล์ จากนั้นจะนำไปแช่ในน้ำยานาตรอน(Natron)ซึ่งเป็นสารพวกsodium Carbonate โดยเปลี่ยนน้ำยาทุกสามวันและแช่ประมาณหกสิบวันจนศพแห้งสนิทแล้ว ก็จะถูกนำมาเคลือบด้วยน้ำมันสน จากนั้นจะมีการตกแต่งและพันศพด้วยผ้าลินินสีขาวชุบเรซิน มัมมี่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วจะถูกนำบรรจุลงในหีบศพ พร้อมกับเครื่องรางของขลังต่างๆ และมัมมี่บางตัวยังมีหน้ากากที่จำลองในหน้าของผู้ตายวางไว้ในหีบศพของมัมมี่อีกด้วย
หีบศพและโถคาโนปิกจะถูกนำไปบรรจุในสุสานพร้อมข้าวของเครื่องใช้และสมบัติเพื่อรอการกลับมาของวิญญาณ

2.2) เกิดวิทยาการทางการแพทย์ ในระยะแรกๆยังรักษาพยาบาลคนป่วยไข้ด้วยความเชื่อในเรื่องเวทย์มนต์คาถา ประมาณ 1,700 ปีก่อนคริสตกาลเริ่มนำแนวทางของวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในการรักษา ทำให้การแพทย์ของอียิปต์เจริญขึ้นเป็นลำดับ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เช่น จักษุแพทย์ ทันตแพทย์ และศัลยแพทย์ แพทย์อียิปต์มีความเข้าใจในความสำคัญของหัวใจ มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัด รู้จักใช้น้ำเกลือรักษาบาดแผลเพื่อป้องกันการอักเสบ ใช้ต่างในการรักษาบาดแผล มีการค้นพบการทำน้ำยารักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย

3. ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
3.1) การทำปฏิทิน อียิปต์โบราณรู้จักการทำปฏิทินโดยยึดหลักสุริยคติกล่าวคือ 1 ปีมี 12 เดือน 30 วัน อีก 5 วันสุดท้ายถูกกำหนดเพื่อการเฉลิมฉลองการกำหนดฤดูถือตามหลักความเป็นไปของธรรมชาติและการเพาะปลูก 1 ปีมี 3ฤดูๆละ 4 เดือน เริ่มจากฤดูน้ำท่วมหรือน้ำหลาก (The Flood of River Nite) ฤดูที่สองคือ ฤดูเพาะปลูกหรือไถหว่าน (The Period of Cultivation) ฤดูที่สามคือ ฤดูเก็บเกี่ยวพืชผล (The Period of Havesting) การที่ชาวอียิปต์โบราณรู้จักการทำปฏิทินนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ชัดความเจริญและความสามารถโดยแท้จริง
3.2) คณิตศาสตร์ เป็นผู้วางรากฐานหลักวิชาเลขคณิตและเรขาคณิต รู้จักการบวก ลบ หาร แต่ยังไม่รู้จักวิธีคูณ โดยเฉพาะด้านเรขาคณิตอียิปต์โบราณเจริญมาก กล่าวคือ สามารถคำนวณหาพื้นที่ของสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมูและวงกลมได้ ตลอดจนชำนาญในการวัดที่ดิน ความสามารถในด้านคณิตศาสตร์มีส่วนช่วยอย่างมากในงานสถาปัตยกรรม รู้จักคำนวณหาปริมาตรของปิรามิด ค้นพบเลขระบบทศนิยม ค้นพบว่า ¶ ( Pie) มีค่าเท่ากับ 3.14
3.3) กระดาษปาปิรุส กระดาษ เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการจดบันทึก มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อกันว่ามีการใช้กระดาษครั้งแรกๆ โดยชาวอียิปต์โบราณ และชาวจีน ตั้งแต่สมัยโบราณ แต่กระดาษในยุคแรกๆ ล้วนผลิตขึ้นเพื่อการจดบันทึก ด้วยกันทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าระบบการเขียน คือแรงผลักดันให้เกิดการผลิตกระดาษขึ้นในโลก
กระดาษของชาวอียิปต์โบราณ ผลิตจากเยื่อต้นอ้อ (Papyrus) โดยนำต้นอ้อที่มีขึ้นแถบลุ่มแม่น้ำไนล์มาลอกเอาเยื่อออกวางซ้อนกันตากให้แห้งกลายเป็นกระดาษ และเรียกว่ากระดาษปาปิรุสก้านอ้อแข็งคืออุปกรณ์ที่ใช้เขียน ยางไม้ผสมสีใช้เป็นหมึก พบว่ามีการใช้จารึกบทสวดและคำสาบาน บรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีการใช้กระดาษที่ทำจากปาปิรุสมาตั้งแต่ปฐมราชวงศ์ของอียิปต์ (ราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล)
สำหรับวัสดุใช้เขียนอื่นๆนั้น ในสมัยโบราณมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น แผ่นโลหะ หิน ใบลาน เปลือกไม้ ผ้าไหม ฯลฯ ผู้คนสมัยโบราณคงจะใช้วัสดุต่างๆ หลากหลายเพื่อการบันทึก ครั้นเมื่อราว ค.ศ. 105 ชาวจีนได้ประดิษฐ์กระดาษจากเศษผ้าฝ้าย และหลังจากนั้นได้มีการใช้วิธีผลิตกระดาษเช่นนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว

4. ด้านศาสนาและความเชื่อ
เกิดเทพเจ้าหลายองค์ ได้แก่ รา (RA) เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ชาวอียิปต์เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้สร้างโลกและสวรรค์รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง นอกจาก รา แล้ว เทพที่ชาวอียิปต์นับถือกันมากได้แก่ โอซิริส เทพแห่งยมโลกผู้มีหน้าที่ตัดสินดวงวิญญาณเทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ , เทพีไอซิสเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ,เซ็ท เทพแห่งสงคราม ,ฮาธอร์เทพีแห่งความรัก และฮอรัส เทพผู้เป็นตัวแทนของฟาโรห์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีเทพอื่นๆที่ถือเป็นเทพเจ้าประจำแต่ละเมือง มีการจารึกบนกระดาษปาปิรุสหรือบนหีบศพเพื่อแสดงต่อเทพเจ้าโอซิริสที่เรียว่า “คัมภีร์มรณะ”(Book of Dead)

คัมภีร์มรณะ วาดบนกระดาสปาปิรุส

5. ด้านอักษรศาสตร์
ศิลปการเขียนของอียิปต์โบราณเริ่มเมื่อประมาณ 300 B.C. การบันทึกทำเป็นอักษรภาพ รู้จักในนามอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิค (Hieroglyphic) ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นรูปภาพและแบบที่เป็นสัญลักษณ์ประกอบเป็นคำ โดยจะบันทึกลงในแผ่นหินและม้วนกระดาษปาปิรัสซึ่งทำจากต้นกก ตัวอักษรอียิปต์มีประมาณ 1000 ตัว ในสมัยก่อน ผู้ที่สามารถอ่านเขียนอักษรเฮียโรกลิฟฟิคได้คล่องแคล่วจะมีโอกาสได้ทำงานเป็นอาลักษณ์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสที่จะเลื่อนขึ้นเป็นขุนนาง หรือนักบวชสำคัญได้
ต่อมาเพื่อให้การเขียนง่ายขึ้นไม่สลับซับซ้อน ได้พัฒนาการเขียนให้มีตัวอักษรภาพน้อยลงเรียกอักษรเฮราติค (Hieratic) ภารเขียนทั้งสองแบบนี้เขียนได้ในหมู่พระเท่านั้น ในประมาณศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาลได้มีการพัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นกว่าเดิมมุ่งให้เขียนง่ายขึ้น ตัวอักษรภาพลดจำนวนน้อยลงและจำนวนผู้ที่สามารถเขียนได้มากขึ้น จากเหตุผลดังกล่าวทำให้อักษรภาพลดเหลือเพียง 24 ตัว เรียกตัวอักษรเดโมติค (Demotic) จากชัยชนะในการเขียนและการค้า ทำให้ศิลปะการเขียนของอียิปต์แพร่หลายออกไป
สำหรับอักษรของอียิปต์นั้น นับแต่อารยธรรมล่มสลายลงไปก็ไม่มีใครสามารถตีความได้ จนกระทั่งได้มีการค้นพบ ศิลาจารึก โรเซทต้า (ROSETTA) ในปี ค.ศ. 1799 ที่มีจารึกอักษรเฮียโรกลิฟฟิคกับอักษรกรีกโบราณเอาไว้ ฟรองซัวส์ ชองโพลียอง ใช้วิธีการค้นคว้าโดยอ่านเทียบกับอักษรกรีกโบราณ และสามารถตีความได้สำเร็จในปี 1822

อักษรเฮียโรกลิฟฟิค

6. ด้านการชลประทาน
มีการขุดคลองส่งน้ำ เพื่อการชลประทานเชื่อมต่อแม่น้ำไนล์เนื่องจาก อียิปต์โบราณต้องพึ่งแม่น้ำไนล์เพื่อใช้ในการเพาะปลูกประมาณเมื่อ 4200 B.C. อียิปต์โบราณค้นพบวิธีเก็บกักน้ำและส่งน้ำเข้าพื้นที่ตอนในด้วยการขุดคูคลองระบายน้ำต่างระดับและทำทำนบกั้นน้ำ เพื่อใช้ในการเกษตรกรรม และการคมนาคมวิธีการดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการริเริ่มการชลประทาน

7.) ด้านวรรณกรรม
วรรณกรรมเด่นของอียิปต์โบราณแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. วรรณกรรมเกี่ยวเนื่องกับศาสนา ได้แก่คัมภีร์ผู้ตาย คัมภีร์นี้มุ่งแสดงต่อเทพเจ้าโอซิริส เพื่อการเข้าสู่โลกหน้าที่อุดมสมบูรณ์และสุขสบายเช่นอียิปต์โบราณ นอกจากนี้ยังมีบทสรรเสริญของพระเจ้าอเนโฮเต็ปที่ 4 ต่อเทพเจ้าอะตัน เป็นต้น
2. วรรณกรรมไม่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา ได้แก่งานสลักบันทึกเหตุการณ์ตามเสาหินหรือผนังปิรามิด เป็นต้น

อารยธรรมโรมัน






อารยธรรมโรมัน เป็นอารยธรรมที่สืบเนื่องมาจากอารยธรรมกรีก โดยชาวอิทรัสกัน (Etruscan) ซึ่งมีถิ่นเดิมอยู่ในเอเชียไมเนอร์อพยพเข้าในแหลมอิตาลี นำเอาความเชื่อและศิลปวัฒนธรรมของกรีกเข้ามาด้วย ต่อมาบรรพบุรุษของชาวโรมันคือ ละติน ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber) ได้ขับไล่กษัตริย์อิทรัสกันออกไป ชาวละตินรวมตัวและชุมนุมกันบริเวณที่เรียกว่า ฟอรัม (Forum) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของเมืองและเป็นจุดเริ่มต้นของกรุงโรมในเวลาต่อมา ชาวโรมันจึงรับเอาอารยธรมของชาวกรีกจากชาวอิทรัสกันมาเป็นต้นแบบอารยธรรมของตนด้วย
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของโรมันได้เปรียบกว่ากรีกหลายประการ คือ มีที่ราบอันกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์เพาะปลูกได้เต็มที่ หุบเขาใกล้เคียงมีป่าไม้และเหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ ที่ตั้งของกรุงโรมอยู่ห่างจากทะเล 15 ไมล์ เหมาะกับการทำการค้าทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กรุงโรมตั้งอยู่ในทำเลที่ความเหมาะสมทางยุทธศาสตร์ คือ สามารถใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคม มีภูเขาและหนองน้ำกีดขวางผู้บุกรุก ประมาณ 100 ปีก่อนคริสตกาล โรมันได้รวบรวมดินแดนโดยรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไว้ในอำนาจ ปัจจัยที่สนับสนุนการแพร่อำนาจของอาณาจักรโรมันคือ การสร้างถนนที่มั่นคงถาวรไปยังดินแดนที่ยึดครอง ทำให้เกิดความคล่องตัว การขยายกองทัพและการคมนาคมขนส่ง การสร้างถนนจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายอำนาจและสร้างความมั่นคงให้กับจักรวรรดิโรมัน

ประวัติศาสตร์และอารยธรรมโรมัน

อิทธิพลที่ส่งต่อมาสู่การก่อกำเนิดอารยธรรม
โรมก่อตัวจากหมู่บ้านทางภาคกลางของอิตาลี อุปนิสัยของโรมันคือ ความเคร่งขรึมและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ความสามารถทางทหารของโรมันอยู่ที่ความอดทนมากกว่ายุทธวิธีที่ฉลาดปราดเปรื่อง
ระยะแรกสำหรับประวัติศาสตร์โรมนั้นค่อนข้างมืดมน ราว 750 ปีก่อน ค.ศ. มีผู้อพยพมาตั้ง ถิ่นฐานแถบภูเขาพาเลนไตน์ใกล้แม่น้ำไทเบอร์ ต่อมาประมาณ 600 ปี ก่อน ค.ศ. บรรดาผู้อพยพต่างรวมตัวกันตั้งนครรัฐแห่งโรมขึ้น ทำเลของนครรัฐตั้งอยู่ในที่ซึ่งเหมาะสม เหมาะสำหรับความเจริญของโรมในอนาคตทางเหนือของโรมติดต่อกัยดินแกนที่เรียกว่า อีทรูเรีย คือ ทัสคานีปัจจุบัน อีทรูเนียเป็นที่อยู่อาศัยของพวกที่มีอารยธรรมสูงเรียกว่า อีทรัสกัน ซึ่งเป็นพวกที่วางรูปวัฒนธรรมของชาวโรมันแต่เริ่มแรก
- เผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจเหนือดินแดน ชาวอีทรัสกันเป็นพวกที่รับอารยธรรมกรีกมาผสมผสานกับอารยธรรมของตนและส่งต่อให้กับโรม การปกครองของโรมในระยะแรกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่มีพื้นเพเป็นอิทรัสกัน ความเป็นผู้นำที่มีความสามารถและมุ่งต่อการรุกราน ทำให้ชาวโรมันเป็นชาติที่ทรงอำนาจเหนือชนชาติอื่น ๆ ในละตินอุมชุมชนโรมันเจริญทั้งกำลังและความมั่งคั่ง และแล้วก็ได้มีการสร้างวิหารใหญ่โตตามแบบสถาปัตยกรรมของอีทรัสคันขึ้นบนภูเขาแห่งหนึ่งสำหรับเทพเจ้าจูปีเตอร์ของชาวโรมัน
ในราว 509 ก่อน ค.ศ. ขุนนางโรมันประสบความสำเร็จในการล้มกษัตริย์อีทรัสกัน และเปลี่ยนแปลงระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐปกครองโดยชนชั้นขุนนาง มีประมุข 2 คน แทนที่กษัตริย์เรียกว่ากงสุลสภาขุนนาง (สภาเชเนท) เลือกตั้งกงสุลเป็นประจำทุกปี กงสุลปกครองโดยมีสภาขุนนางเป็นที่ปรึกษาการปกครองนั้น แม้จะปกครองในนามชาวโรมันแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นสูง คือ แพทริเชียน ส่วนชนชั้นต่ำหรือเพลเบียนนั้น เกือบไม่มีสิทธิทางการเมืองเลย การแต่งงานระหว่าง เพลเบียนกับแพทริเชียนยังเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในระยะแรก ๆ
พวกเพลเบียนค่อย ๆ ยกฐานะของตน เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง ในชั้นแรกพวกนี้รวมกลุ่มกันจัดตั้งสภาที่ปรึกษา ซึ่งต่อมากลายเป็นองค์กรสำคัญทางการเมืองที่เรียกว่าสภาของเผ่า พวกเพลเบียนเลือกตัวแทนของตนเรียกว่า ทรีบูน ให้เป็นปากเสียงและเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตนในรัฐบาลซึ่งคุมโดยแพทริเชียน ทรีบูนเป็นพวกที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
เมื่อประมาณ 450 ก่อน ค.ศ. ได้มีการนำกฎหมายที่สืบทอดกันมาตามประเพณีมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายสิบสองโต๊ะ กฎหมายนี้ช่วยพิทักษ์บรรดาเพลเบียนให้พ้นจากอำนาจตามอำเภอใจของกงสุลที่มาจากชนชั้นแพทริเชียน กฎหมายสิบสองโต๊ะนี้นับว่ามีความสำคัญมากต่อพัฒนาการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญของโรมัน
การพิทักษ์ทางกฎหมาย ทำให้เพลเบียนสามารถจัดการกับเรื่องการจัดสรรที่ดินให้พวกตนได้รับการแบ่งปันบ้าง สภาของเป่าของพวกเพลเบียนได้รับอำนาจในการริเริ่มร่างกฎหมายและมีบทบาทในการปกครองโรมัน ช่วงนี้การแต่งงานกลายเป็นสิ่งไม่ต้องห้าม ต่อมามีกฎหมายที่รองรับให้เพลเบียนมีบทบาทในการปกครองมากขึ้น มาตรการเหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโรมไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสำเร็จบริบูรณ์ในปี 287 ก่อน ค.ศ.
การแผ่อำนาจของโรมนั้น มีทั้งการเป็นพันธมิตรและการทำสงครามกับพวกที่เป็นศัตรู อาณาจักรของโรมขยายตัวไปเรื่อย ๆ แต่ชาวโรมันมักจะใจกว้างต่อบรรดาชาติอิตาลีที่ตนเข้าปกครอง โดยยอมให้มีการปกครองตนเองมากพอสมควร จึงมักประสบความสำเร็จในการรักษาความสวามิภักดิ์ไว้ได้ ในเวลาต่อมาเมื่อพิสูจน์ว่าคนในปกครองจงรักภักดีก็จะยอมให้เป็นพลเมืองโรมัน ด้วยวิธีการนี้โรมจึงสามารถสร้างจักรวรรดิที่มีอายุยืนยาวกว่าจักรวรรดิเอเธนส์ของเพริเคลส เมื่อประมาณ 265 ก่อน ค.ศ. โรมอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกับคาร์เธจและนครรัฐทายาทของกรีก คือ เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของทะเล เมดิเตอเรเนียน


ลำดับเหตุการณ์พัฒนาการของอารยธรรม

โรมันเป็นพวก อินโดยูโรเปียน ย้ายเข้ามาอยู่ใน แหลมอิตาลี กลุ่มที่อพยพเข้ามา เรียกรวมๆว่า อิตาลิก ( Italic) แต่กลุ่มคนที่สำคัญส่วนใหญ่คือ พวกลาติน ซึ่งเอาชนะชาวพื้นเมืองอีทรัสกัส และสร้างอาณาจักรโรมขึ้นมา รวมทั้งกรุงโรมด้วย
2. ชาวโรมันมีนิสัยเด่น คือ ชอบทำการรบ และการปกครอง เป็นพวกมีวินัย เป็นนักคิด นักปฏิบัติ
3. การปกครองของโรมันแบ่งออกเป็น 2 ยุค ได้แก่
3.1 โรมันในสมัยสาธารณรัฐ
• มีผู้นำคนสำคัญ คือ จูเลียส ซีซ่า ( Julius Caesar) มีความสามารถด้านการรบมากสามารถแผ่ขยายอณาเขต รบชนะ กรีก อียิปต์ เอเชียไมเนอร์ แอฟริกา และ เสปน ได้หมด
3.2 โรมันในสมัย จักรวรรดิ
• เริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนที่ออคตาเวียน ขึ้นปกครองโรม จึงเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบกษัตริย์ และสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ ชื่อว่า ออกุสตุส ซีซ่าร์
• สมัยออตเตเวียนและจักรพรรดิ์ต่อมาอีก 4 พระองค์ โรมันเจริญสูงสุดและได้ชื่อว่าเป็นสมัยแห่ง “ สันติภาพโรมัน ”
• หลังจากนั้นโรมันก็ถูกชนเยอรมันเผ่า ก๊อด ( Goth) มารุกราน จักรพรรดิ์คอนสแตนติน จึงต้องแยก โรมันออกเป็น 2 ส่วน
( Goth เป็นชื่อเรียกชนเผ่าหนึ่งที่เอยู่ตอนเหนือของยุโรป แบ่งเป็น 2 เผ่า คือ
1. VisiGoth ตะวันตก (อยู่ในแถบฟินแลนด์และ สวีเดน)
2. Ostrogoths ตะวันออก (เยอร์มัน/โปแลนด์) )
• ฝั่งตะวันตก มีศูนย์กลางอยู่ที่ กรุงโรม
• ฝั่งตะวันออก มีศูนย์กลางอยู่ที่ กรุงคอนสแตนติโนเปิล ( เดิมชื่อ ไบแซนไทน์ ปัจจุบันคือ อิสตันบลู ของตุรกี )
ค.ศ. 476 กรุงโรมได้ สลายลง เพราะการโจมตีของชนเยอรมัน ติวโตนิก
4. อารยธรรมเด่นๆ
4.1 ศิลปะโรมันได้รับอิทธิพลศิลปกรรมจากกรีก แต่ก็ได้พัฒนาให้มีรูปแบบเป็นของตัวเอง แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ โอ่อ่าหรูหรา ซึ่งต่างจากกรีกที่มีรูปแบบเคร่งครัดตายตัว ประณีต และแสดงออกซึ่งจิตวิญญาณมากกว่าโรมัน ทั้งนี้เพราะปรัชญาแห่งการดำเนินชีวิตต่างกัน ในขณะที่กรีกมีพื้นฐานปรัชญาเน้นพุทธิปัญญา ( Intellectual) เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่โรมันมีเป้าหมายอยู่ที่ความสุข เพราะมีหลักปรัชญาแบบประโยชน์นิยมและสุขนิยมเป็นพื้นฐาน โรมันจึงสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อรับใช้จักรพรรดิ์และประชาชน โรมันเป็นนักดัดแปลงที่เก่งกาจ มรดกของโรมันได้เหลือตกทอดให้แก่คนในยุคปัจจุบันได้ใช้ประโยชน์มีเป็นจำนวนไม่น้อย อาณาจักรโรมันจึงเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกที่น่าศึกษาและอนุรักษ์เป็นมรดกโลก
4.2 โรมันเป็นพวกที่ไม่นิยมการปั้นรูปปั้นเน้นสัดส่วนแบบกรีก แม้ว่าจะได้รับอิทธิพลทางศิลปะจาก กรีกแต่โรมันก็นำ มาปรับใช้ให้เหมาะสมและเน้นเรื่องการใช้ประโยชน์มากที่สุด ชาวโรมันจึงมีความสุขกับวัตถุนิยม และมีความภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของตน
4.3 มีการประมวลกฎหมาย12โต๊ะ คือกฏหมาย เน้นเรื่องความเสมอภาคของประชาชนทุกคนในโรมัน และเป็นรากฐานของกฎในปัจจุบันนี้
4.4 มีการสร้างสถานที่เด่นๆหลายอย่าง เช่น
• สนามกีฬาโคลอสเซียม
• ประตูชัย
• สะพานและท่อลำเลียงน้ำ
4.5 ถ้าสังเกตดีๆจะรู้ว่า อาคารส่วนใหญ่ของชาวโรมันจะเป็นรูปโค้ง หรือ หลังคาเป็นรูปโดม เพราะเชื่อว่า วงกลม เป็นรูปแบบที่ ไม่มีที่สิ้นสุดเปรียบเหมือนพระเจ้าที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุด
4.6 วรรณกรรมที่เด่นๆ เช่น มหากาพย์ อีเนียด

การแบ่งชนชั้นในสังคมและระบบการปกครอง
สมัยสาธารณรัฐ(509-27 BC)
หลังจากพิชิตอีทรัสกันได้ก็มีการขยายดินแดนออกไปในแหลมอิตาลี เนื่องจากมีความสามารถทางการทหารและการปกครอง การปกครองใช้ระบอบสาธารณรัฐแทนระบอบกษัตริย์ตามแบบอารยธรรมโบราณอื่นๆ พลเมืองโรมันจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือกลุ่มที่เป็นผู้บริหารและชนชั้นปกครองกับราษฎรธรรมดาทั่วไป ในสมัยแรกๆกลุ่มผู้บริหารและชนชั้นปกครองจะมีอำนาจในการปกครองและออกกฎหมายมากในขณะที่ราษฎรธรรมดาแทบไม่มีสิทธิเหล่านี้เลย จนกระทั่งราวปี 450 BC กลุ่มพลเมืองธรรมดาจึงเริ่มมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น มีผู้แทนของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในระบอบการปกครองในระบบสภาผู้แทน
ระบอบการปกครองทำให้โรมันมีความแข็งแกร่ง และขยายอำนาจออกไปเรื่อยๆทั้งทางบกและทางทะเล ทางทะเลในขณะนั้นฟินิเชียที่มีเมืองหลวงชื่อ คาร์เธจ (ปัจจุบันคือเมือง Tunis ในประเทศตูนิเซีย)ซึ่งกำลังรุ่งเรืองทางด้านการค้าอยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในขณะนั้น ได้ขยายอิทธิพลมาจนถึงเมือง Syracuse (บริเวณอาณาจักรของกรีก)ของโรมัน สงครามระหว่างโรมันและฟินิเชียจึงเริ่มขึ้นในราว 264 BC เรียกว่าสงครามพิวนิค(Punic War) มีการรบกันใหญ่ๆ 3 ครั้งผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะจนกระทั่งในที่สุดโรมันก็สามารถปราบคาเธจอย่างราบคาบได้ในปี 149-146 BC จากนั้นจึงเริ่มขยายดินแดนไปทางกรีกและยึดครองกรีกได้ราว 146 BC
ชาติโรมันมีสงครามเพื่อขยายดินแดนออกไปเรื่อยๆ มีอาณาเขตกว้างขวางขึ้นปัญหาด้านเศรษฐกิจและการปกครองก็ตามมา มีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น มีการทุจริตคอรับชัน มีความขัดแย้งภายในระหว่างผู้นำกลุ่มต่างๆจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ทำให้ระบบสาธารณรัฐซึ่งผู้นำมาจากการเลือกตั้งต้องพังพินาศและเปลี่ยนมาเป็นระบอบจักรวรรดิซึ่งมีผู้นำคือจักรพรรดิ์แทน
สงครามกลางเมืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองครั้งสำคัญคือสงครามระหว่างจูเลียส ซีซาร์(Jurlius Caesar 102-44 BC)กับปอมเปย์(Pompey) ซึ่งร่วมกับ Crassus อีกคน ทั้งสามร่วมทำการปกครองโรม ต่อมาซีซาร์ไปรบและได้ชัยในแคว้นโกลซึ่งเป็นเขตประเทศฝรั่งเศสและเบลเยียมในปัจจุบัน จากนั้นได้ยกทัพข้ามช่องแคบอังกฤษเพื่อไปปราบพวกเคลต์ ไบรตัน(Celtic Britons)ซึ่งให้ความช่วยเหลือพวกเคลต์ในแคว้นโกล ช่วง 49 BC ซีซาร์ได้รับคำสั่งจากสภาให้ยึดครองดินแดนอิตาลี ในระหว่างที่ซีซาร์ออกไปรบตามแคว้นต่างๆนั้นปอมเปย์คิดที่จะรวบอำนาจไว้ ซีซาร์จึงเข้าต่อสู้ได้ชัยต่อกองทัพปอมเปย์ในกรีซ ส่วน แครสซุสได้ตายก่อนในการรบตั้งแต่ปี 53 BC แล้ว จากนั้นซีซาร์รบขยายดินแดนเข้าไปในอียิปต์ จนในยุคนี้เกิดตำนานความสัมพันธ์ระหว่างซีซาร์และนางคลีโอพัตราแห่งราชวงศ์ปทอเลมีของอียิปต์ ซีซาร์ตั้งให้นางเป็นผู้ปกครองอียิปต์ ซีซาร์ได้รบขยายดินแดนต่อไปในอาฟริกาเหนือและสเปน จากนั้น 45 BC เขาได้เดินทางกลับโรมและถูกฆ่าตายโดย Brutus หลังจากกลับถึงโรมไม่ถึงปี ณ บริเวณหน้ารูปปั้นของปอมเปย์ในสภา
ในยุคสมัยของซีซาร์นั้นมีการปฏิรูปการปกครอง รวบอำนาจทั้งทางการปกครองและศาสนามาเป็นของตน มีการแต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้าไปเป็นสมาชิกสภา มีการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม มีการสร้างงานและสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนนและงานชลประทาน ผลงานของซีซาร์เป็นที่ชื่นชมของคนโรมันเพราะเขาเป็นผู้รื้อฟื้นระเบียบวินัยของโรมและนำความรุ่งเรืองมาสู่สาธารณรัฐสมัยจักรวรรดิ์โรมันจักรพรรดิ์กลายเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียวทั้งทางด้านการปกครองหรือศาสนา ตั้งแต่ยุคออคตาเวียน ซึ่งภายหลังสถาปนาตนเป็นออกุสตุส ซีซาร์(Augustus Caesar)ในสมัยนี้สงครามใหญ่ๆมักไม่ค่อยมี ด้วยประชาชนเห็นว่าการปกครองแบบจักรวรรดิสงบเรียบร้อยกว่าแบบสาธารณรัฐ บ้านเมืองจึงสงบสุข มีอำนาจและร่ำรวยที่สุดในโรม ออกุสตุสได้ใช้จ่ายเงินเพื่อสร้างอาคารสาธารณประโยชน์ใหม่ๆและใหญ่ๆมากมาย
การปกครองตั้งแต่ยุคออกุสตุสเป็นต้นมามีความสุขสงบจนได้ชื่อว่าเป็นสมัยสันติภาพโรมัน(Pax Romana 27 BC- ค.ศ. 180) แม้จะมีจักรพรรดิ์ที่วิกลจริตบ้าง แต่ในยุคนี้ถือได้ว่าจักรวรรดิ์โรมันรุ่งเรืองที่สุดทั้งทางด้านเศรษฐกิจและอำนาจการปกครองในสมัยจักรพรรดิที่ดี 5 องค์(The Antonines)เพราะวิธีเลือกจักรพรรดิไม่ได้เลือกโดยวิธีสืบสายเลือดแต่เลือกจากบุคคลที่มีคุณสมบัติดีมาเป็นทายาทและดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ์ จักรพรรดิที่ดี 5 องค์นั้นประกอบด้วย เนอร์วา(nerva ค.ศ. 96-98 ) ทราจัน (Trajan ค.ศ. 98-117)ฮาเดรียน (Hadrian ค.ศ. 117-138) อันโตนิอุส ปิอุส (Nantonius Pius ค.ศ. 138-161) และมาคุส ออเรลิอุส (Marcus Aurelius ค.ศ. 161-180) แต่ละองค์สร้างประโยชน์ให้แก่โรมอย่างใหญ่หลวง เช่น ทราจันรบได้ดินแดนตอนเหนือของแม่น้ำดานูบ เป็นสมัยที่โรมันมีอาณาเขตกว้างที่สุด ฮาเดรียนมีความสามารถด้านการบริหารปกครองบ้านเมือง สร้างกำแพงใหญ่ไว้ป้องกันการรุกรานจากอนารยชน(Barbarians)
สมัยจักรพรรดิที่ดีทั้ง 5 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 180 เพราะหันกลับไปใช้ระบบเก่าคือสืบสายโลหิต จากนั้นอาณาจักรเริ่มเสื่อมลง โดยปัจจัยหลักๆ 3 ประการคือ ความเสื่อมโทรมของเศรษฐกิจในชนบท การแย่งชิงอำนาจในสกุลวงศ์ของจักรพรรดิ์ และการรุกรานของอนารยชน แม้บางสมัยการเมืองการปกครองจะดีขึ้นบ้างเช่นสมัยจักรพรรดิไดโอคลีเชี่ยนและคอนแสตนตินแต่ก็ไม่ได้สภาพที่ดีขึ้นอย่างถาวร
ปี ค.ศ. 313 จักรพรรดิคอนแสตนติน สามารถรวบรวมอำนาจการปกครองไว้ที่พระองค์ได้ ทรงสร้างนครหลวงแห่งใหม่ที่ทางตะวันออก ในแคว้นไบแซนติอุม(Byzantium)ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกรีกปัจจุบันคือตุรกี มีชื่อว่าคอนแสตนติโนเปิลการสร้างอาณาจักรที่สองนี้ทำให้แบ่งโรมันออกเป็น 2 ส่วน ในปี ค.ศ. 395 จักรวรรดิ์ทั้งสองถูกแยกการปกครองจากกันอย่างถาวร

แนวความคิดหรือความเชื่อของประชาชนในสังคม
ศาสนาโรมัน
โรมมีเทพเจ้าประจำชาติ แต่ด้วยขันติธรรมทางศาสนา ลัทธิบูชาต่าง ๆ จึงอยู่ได้ในโรมัน บุคคลหนึ่งสามารถนับถือได้หลายลัทธิ สมัยพรินซิเพทเกิดลัทธิบูชาจักรพรรดิ (Cult of Emperor) จักรพรรดิออกุสตุสได้รับการยกย่องบูชาโดยถือเป็นเทพ ลัทธินี้กลายเป็นพิธีกรรมประจำชาติอย่างเป็นทางการเพื่อปลุกใจให้รักชาติมากกว่าเป็นเรื่องทางศาสนา สำหรับชาวยิวและคริสต์แล้วไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมดังกล่าวเพราะขัดกับหลักคำสอนทางศาสนา
สมัยออกุสตุส ชาวโรมันเริ่มบูชาเทพเจ้าจากทางตะวันออกในแนวของการไถ่บาปในโลกหน้าเช่น บูชาเทพไอซีสของอียิปต์ เทพมิทราของเปอร์เชีย ฯลฯ ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่าเป็นลัทธิรหัสยนิยม ลัทธิเหล่านี้ก่อให้เกิดลัทธิสากลนิยมและอัตตาธิปไตยที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ก็มีลัทธิเปลโต้ใหม่ (Neo - platoism) โพลตินุสเป็นนักปรัชญาของลัทธินี้ได้เผยแพร่การบูชาเทพองค์เดียวผู้ทรงอนันตภาพไม่มีขอบเขต ลัทธินี้ต่อมาได้สังเคราะห์แก่นสำคัญของลัทธินอกศาสนาอื่น ๆ เข้ามาด้วย
บรรยากาศของลัทธิศาสนาแบบต่าง ๆ นี้ มีผลให้ลัทธิเหตุผลนิยมและมนุษยนิยมของกรีกถูกกลืนเกือบหมดสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจากลัทธิใหม่ ๆ เหล่านี้คือ โหราศาสตร์ เวทย์มนต์ การหลอกลวงและพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งครอบงำคนมากย่องกว่าในสังคมกรีก ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านี้ คริสตศาสนาได้เกิดขึ้นและได้ชัยชนะเหนือจิตใจประชาชน
คริสตศาสนาในจักรวรรดิโรมัน
คริสตศาสนามีลักษณะที่นำเอาความเชื่อจากลัทธิที่มีมาก่อนมาจัดรวมกัน เช่น แนวความคิดเรื่องความตายและการฟื้นคืนชีพ อย่างไรก็ตามได้มีพื้นฐานต่างจากศาสนาอื่น ๆ อย่างน้อย 2 ประการ คือ ประการแรก คริสตศาสนามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ประการที่สอง พระเยซูนั้นถือเป็นพระผู้ไถ่บาป และเป็นบุคคลในคำพยากรณ์ของศาสนาฮิบรู ทรงเป็นบุคคลร่วมสมัยกับออกุสตุส แต่พระชนม์น้อยกว่า พระเยซูมีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ และหลักคำสอนของพระองค์เน้นความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และการอ่อนน้อมถ่อมตน การดำรงชีวิตอย่างมีสติ มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนและศัตรู พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่คนจนและผู้ทอดทิ้ง
การที่พระเยซูทรงวิจารณ์ข้อบกพร่องทางศีลธรรมของบรรดาพระในศาสนายิวผสมกับการที่ทรงอ้างว่าตรัสในนามของพระเจ้า มีผลให้ทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะผู้พยายามโค่นล้มระบบการปกครอง
นักบุญปอลอัครสาวกสามารถใส่ความคิดเรื่องภราดรภาพสากลเข้าในศาสนาคริสต์ได้สำเร็จ ทำให้ศาสนาคริสต์แพร่ไปได้มาก มิชชันนารีอื่น ๆ รวมทั้งนักบุญปีเตอร์และอัครสาวกองค์อื่น ๆ ต่างพากันเดินทางจาริกเผยแพร่ศาสนาและรวบรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรทางศาสนาขึ้น

เอกสารทางประวัติศาสตร์ของชาวคริสต์เริ่มมีมากในคริสตศตวรรษที่ 2 และ 3 องค์กรทางศาสนาก็เริ่มเด่นชัดกว่าเดิม มีการจัดลำดับสงฆ์เป็นหลายชั้นลดหลั่นกันลงมา อัครสังฆราชที่อยู่ประจำตามมหานครมีความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ที่โรม อเลกซานเดรีย แอนติออค และต่อมาที่กรุงคอนแสตนติโนเปิลด้วย เมื่อเวลาผ่านไป อัครสังฆราชที่โรมได้รับการยกย่องมากขึ้นจนสูงกว่าองค์อื่น ๆ
แนวความคิดของคริสตศาสนาได้รับการพัฒนาให้ลึกซึ้งตามแนวปรัชญาต่าง ๆ ของกรีกและยิว เช่น ของเปลโต้ สโตอิค และพระคัมภีร์เก่าของยิว แนวความคิดที่ได้รับการตีความเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นฐานให้กับนิกายออร์ธอดอกซ์ อย่างไรก็ตามได้ทำให้คริสตศาสนามีความหมาย และดึงดูดใจปัญญาชนมากขึ้น
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจักรวรรดิโรมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว คำสอนและทางรอดในคริสตศาสนาสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของยุค คริสตศาสนาได้รับเอามรดกของวัฒนธรรมโรมในเรื่ององค์กรทางการเมืองและกฎหมายมาใช้ รูปแบบองค์กรของศาสนาคริสต์ในยุคกลางเหมือนกับระบอบการปกครองของจักรวรรดิโรมันนั่นเอง
ในระยะแรก คริสตศาสนิกชนมักตกเป็นเป้าความเกลียดชัง ระแวงสงสัย เพราะการปฏิเสธศาสนาอื่น และไม่ยอมรับนับถือเทพเจ้าของรัฐ ในบางช่วงคริสตศาสนิกชนจึงโดนกวาดล้างขนานใหญ่ เป็นช่วง ๆ แต่ศาสนาคริสต์ก็เผยแพร่ไปไม่หยุดยั้ง แต่เมื่อถึงต้นคริสศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ก็เติบโตเกินกว่าจะทำลายล้างได้แล้ว จักรพรรดิโรมันได้หันมาประนีประนอมกับคริสตศาสนา จักรพรรดิคอนแสตนตินเป็นจักรพรรดิโรมันองค์แรกที่นับถือคริสตศาสนา และเมื่อสิ้นคริสตศตวรรษที่ 4 ประชาชนส่วนใหญ่ก็หันมานับถือคริสต์

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรม

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองระหว่างปี 246 – 146 ก่อน ค.ศ.

ช่วงระยะเวลาระหว่างสงครามพิวนิคทั้ง 3 ครั้ง ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโรม ส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงมาจากความเป็นมาในความมั่งคั่งร่ำรวย และความสำเร็จทางด้านการทหาร ซึ่งค่อย ๆ บ่อนทำลายคุณความดีดั้งเดิมของพลเมือง อีกนัยหนึ่งเมื่อโรมพิชิตกรีกนั้น โรมค่อย ๆ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกเฮลเลนิสติค ทั้งความฟุ่มเฟือยและความเป็นปัจเจกชนนิยมอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้ได้กัดกร่อนความเป็นอนุรักษ์นิยม และการอุทิศตนเพื่อส่วนรวมของคนโรมัน แต่การสูญเสียของโรมก็ได้รับการทดแทนในเรื่องของวัฒนธรรมและภูมิปัญญา โรมได้รับหลักสโตอิคเกี่ยวกับเรื่องภราดรภาพสากลเป็นหลักปรัชญาที่เหมาะสมสำหรับจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษโรมันหลายคนได้กลายเป็นพวกสโตอิค ส่วนทางด้านการเกษตรโรมได้รับเอาเทคนิคการเกษตรแบบเฮลเลนิสติคเข้ามาด้วย คือ การทำกสิกรรมขนาดใหญ่การทำกสิกรรมขนาดใหญ่ หรือ “ลาติฟุนเดีย” เกิดขึ้นเนื่องจากการทำสงครามได้นำความมั่งคั่งและทาสจำนวนมากมาสู่ชาวโรมัน อิตาลีทางภาคกลาง และภาคใต้จึงเต็มไปด้วยผืนนาขนาดใหญ่เข้าแทนที่นาอิสระเล็ก ๆ นาอิสระเล็ก ๆ จะผลิตข้าวชนิดต่าง ๆ ส่วนลาติฟุนเดียมุ่งผลิตพืชผลที่ค้ากำไร เช่น องุ่น เพื่อทำเหล้า มะกอกเพื่อทำน้ำมันมะกอก รวมทั้งเลี้ยงแกะ ชาวนาเล็ก ๆ นั้น เมื่อถูกเกณฑ์ทหารบ่อยเข้า ได้ขายที่นาแก่เจ้าของลาติฟุนเดีย และในที่สุดต้องอพยพเข้าเมืองไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงโรม ต่อมาคนอพยพที่ว่างงานเหล่านี้จะก่อความไม่สงบหลายครั้ง จนทำให้รัฐบาลหวาดเกรงและใช้นโยบายให้อาหารตลอดจนการบันเทิงโดยไม่คิดมูลค่า จนเป็นการเพาะนิสัยว่าจะต้องได้ “ขนมปังและละครสัตว์”ในขณะที่โรมต่อสู่กับคาร์เธจนั้น การค้าที่เติบโตขึ้นทำให้เกิดชนชั้นใหม่คือนักธุรกิจและผู้รับเหมางานสาธารณประโยชน์ เมื่อพวกนี้มั่งคั่งขึ้นจะกลายเป็นคู่แข่งของขุนนางสมาชิกสภาเซเนทเจ้าของที่ดิน ชนชั้นใหม่นี้เรียกว่า อัศวิน หรือ “ผู้ขี่ม้า” เพราะพวกนี้สามารถรับราชการในกองทัพโดยเป็นทหารม้ามากกว่าทหารราบ ชนชั้นขี่ม้านี้ปกติจะไม่สนใจการเมืองนอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของตน ชัยชนะทางทหารและการติดต่อกับโลกเฮลเลนิสติค ทำให้พวกขุนนางเจ้าที่ดินและชนชั้นขี่ม้ามีความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยฟุ่มเฟือย ช่วงระหว่างคนรวยกับคนจนก็ขยายกว้างไปเรื่อย ๆ แรงกดดันความไม่สงบในสังคมเริ่มคุกคามเสถียรภาพของสังคมโรมันข้าหลวงและขุนนางโรมันในสมัยนี้ปกครองแบบไม่ยุติธรรมซึ่งต่างจากในสมัยแรก มีการขูดรีดประชาชนประชาชนเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งเป็นส่วนตัว การฉ้อราษฎร์บังหลวงนี้ได้รับการลงโทษสถานเบาเพราะผู้พิพากษาบางคนลังเลใจที่จะลงโทษขุนนางชั้นเดียวกับตน และบางคนก็รับสินบน

ความรุนแรงและการปฏิวัติในศตวรรษสุดท้ายของสาธารณรัฐ (133 – 30 ปี ก่อน ค.ศ.)
ท่ามกลางปัญหานั้นได้มีความพยายามที่จะปฏิรูปไทบีเรียส และไกอุส สองพี่น้อง สกุลราสชุส พยายามดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อประชาชน ทั้งสองเคยรับราชการในตำแหน่งทรีบูน แต่ความพยายามของเขาล้มเหลว ตัวของทั้งคู่ถูกฆาตกรรม ไทบีเรียสในปี 133 ก่อน ค.ศ. และไกอุส ในปี 121 ก่อน ค.ศ.
หลังจากนั้นได้มีความพยายามของมวลชนและชนชั้นขี่ม้าที่จะสู้กับพวกสภาเซเนท บรรดาบุคคลทั้งหลายต่างพยายามแสวงหาทางใช้อาชีพทหารในการไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง ผู้บัญชาการทหารมักจะสู้กันเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ทางการเมือง เช่น ซุลลากับมาริคุส กองทหารโรมันเวลานี้กลายเป็นหนทางสู่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กองทัพมีท่าทีว่าจะเป็นทหารอาชีพและทหารเริ่มอยู่ใต้ผู้บังคับบัญชามากกว่าอยู่ใต้รัฐ ในปี 83 ก่อน ค.ศ. ซุลลาได้ยึดอำนาจและตั้งตนเป็นผู้เผด็จการ หลังจากได้ออกกฎหมายเพื่อเสริมอำนาจให้กับสภาเซเนทแล้วเขาก็ปลดเกษียณ ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสบบายในคฤหาสน์นอกเมืองที่คัมปาเนีย
ในช่วงทศวรรษที่ 60 ก่อน ค.ศ. ซิเซโร นักปรัชญาการเมืองและนักวาทศิลป์ พยายามรวมสภาเซเนทและชนชั้นขี่ม้าเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านการคุกคามที่รุนแรงขึ้นทั้งของพวกนายพลและมวลชน แต่ซิเซโรไม่ประสบผลสำเร็จด้วยความด้อยสมรรถภาพของสภาเซเนทเอง ผู้นำทางการทหารเด่น ๆ เช่น ปอมเปอี จูเลียส ซีซาร์ ต่างพยายามหาความสนับสนุนจากชนชั้นต่ำ สาธารณรัฐใกล้จะเสื่อมสลายลงไป แต่ก็มีระบอบใหม่ที่ช่วยให้โรมดำรงความยิ่งใหญ่ต่อไปได้ คือ ระบอบปรินซ์ซิเปต
เหตุที่ทำให้อาณาจักรโรมันล่มสลาย
ช่วงสุดท้ายของจักรวรรดิโรมันนั้น โรมันเริ่มเสื่อมลงด้วยปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจ การแย่งชิงอำนาจของจักรพรรดิ์ และการรุกรานจากพวกอนารยชน ทางภาคเหนือของอิตาลีชนเผ่าต่างๆกระจายกันอยู่โดยทั่วไป ชนเผ่าต่างๆมีการรุกรานโรมันมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล แต่ก็พ่ายโรมันโดยตลอด ปีค.ศ. 373 ฮั่น Hans ได้ยกทัพข้ามแม่น้ำโวลก้ามารุกรานพวกกอธ ทำให้พวกกอธหนีลงมาบริเวณแคว้นเทรซของโรมัน และเข้าโจมตีแคว้นเทรซ ค.ศ. 378 จักรพรรดิ์วาเลนของโรมันได้ยกทัพเข้าต้านทานที่เมือง เอดรีอาโนเปิลแต่แพ้และเสียชีวิตในสนามรบ ทำให้ชื่อเสียงเรื่องการรบที่ไม่มีวันแพ้ของโรมันต้องเสื่อมลง และอนารยชนเผ่าต่างๆก็คอยรุกรานจักรวรรดิอยู่บ่อยๆ จนราวปี ค.ศ. 410 Visigoths พวกโกธเยอรมันสายเหนือได้เข้ารุกรานในโรม ค.ศ. 450 พวกฮั่นซึ่งเป็นมองโกเลียสายหนึ่งได้ยกทัพมารุกรานโรมัน ปี ค.ศ. 454 เยอรมันอีกพวกคือ Vandals ได้ยกทัพข้ามช่องแคบยิบรอลต้า Gibralta ซึ่งอยู่ระหว่างสเปนและอาฟริกาเข้ายึดครองสเปนและคาร์เธจ อนารยชนอื่นๆ เช่น เบอร์กันดียึดลุ่มแม่น้ำไรน์ แฟรงค์ยึดทางเหนือของแคว้นโกล แองโกล -แซกซอนและจูส์ยึดเกาะอังกฤษ ออสโตรโกธยึดทางเหนือของแม่น้ำดานูบ ลอมบาร์ดซึ่งเป็นเยอรมันเผ่าล่าสุดยึดทางเหนือของอิตาลี ตราบจนกระทั่งใน ค.ศ. 476 ถือป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิเมื่อจักรพรรดิองค์สุดท้ายคือโรมิวรุส ออกุสตุสถูกถอดจากบัลลังก์โดยแม่ทัพโรมันเชื้อชาติเยอรมัน จากนั้นอำนาจจักรวรรดิก็ยิ่งอ่อนแอเป็นผลให้เมืองขึ้นต่างๆแข็งขอและพร้อมใจกันสถาปนาตนขึ้นเป็นอาณาจักรใหม่ทั่วยุโรป ทำให้จักรวรรดิโรมันอวสานอย่างสิ้นเชิง

ผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์อารยธรรมที่ศึกษา
สนามกีฬากรุงโรม
- วัตถุประสงค์ในการสร้าง
ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหารหรือใช้เป็นที่ประลองฝีมือเชิงฟันดาบของเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง
- อิทธิพลที่ส่งผ่านมายังผลงาน
ความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ
-จุดเด่นของผลงาน
เป็นอนุสรณ์ใหญ่โตของอาณาจักร ตัวสนามสร้างเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว527เมตร สูง57เมตร มี4ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องขังนักโทษที่รอการประหารชีวิตและสิงโตหลายร้อยห้อง
สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
สถานที่ตั้ง กลางทะเลทราย แบกแดด ประเทศอิรักปัจจุบัน ทั้งสวนทรุดโทรมจนแทบไม่เหรือซาก
ประวัติ
พระเจ้าเนบูซัดเนซซาร์สร้างขึ้นให้พระราชินีของพระองค์ที่ร่วมกันขับไล่พวกอัสซีเรียออกไปได้ พระราชินีเซมีรามิสทรงอาลัยอาวรณ์ภูมิประเทศบ้านเกิดของพระองค์ซซึ่งเป็นพื้นที่เทือกเขาแบบเปอร์เซียและไม่โปรดความเรียบร้อยของนครบาบิโลน พระเจ้าเนบูซัดเนซซาร์ทรงให้สร้างสวนลอยที่เป็นภูเขาที่สร้างโดยฝีมือมนุษย์ขึ้น
สวนแห่งนครบาบิโลนสร้างขึ้นเมื่อประมาณ600ปีก่อนคริสตการ โดยก่อเป็นเนินสูงเป็นชั้นๆสูง100เมตรล้อมด้วยกำแพงหนา7เมตรหลังจากพระเจ้าเนบูซัดเนซซาร์สิ้นพระชนม์22ปี สวนลอยนี้อยู่คู่กับเมืองได้จนถึงศตวรรษที่3ก่อนคริสตการ
ปัจจุบันสวนลอยแห่งนี้ได้ทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือแล้ว หลงเหลือเพียงบ่อน้ำและซุ้มประตู
ลักษณะเด่นของผลงานที่เกิดขึ้นของโรมัน
ดังที่กล่าวมาด้านบนนี้จะสังเกตได้ว่าโรมันจะเน้นการตกแต่งอย่างพิถีพิถันไม่เน้นประโยชน์ทางโครงสร้างเท่าไรนัก สถาปัตยกรรมที่สำคัญต่างๆเช่น ซุ้มประตู สะพานที่ใช้ส่งน้ำจากภูเขา สิ่งก่อสร้างต่างๆของโรมันได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมของโรมันอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงพ.ศ.600-873 ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งและอำนาจของอาณาจักรโรมันอาคารสถาปัตยกรรมมขนาดกว้างใหญ่และมีการตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือยและมีการควบคุมทำเลที่ตั้งการจัดภูมิทัศน์อย่างพิถีพิถันมีการสร้างโรงชุมนุม โรงมหรสพหรือสนามกีฬาโรงอาบน้ำสาธารณะและอาคารที่พักอาศัยมากมาย ส่วนใหญ่ประดับด้วยหินสีหินอ่อนและประติมากรรมแกะสลักตกแต่งอย่างสวยงาม
อารยธรรมโรมัน จักรวรรดิโรมันปกครองคาบสมุทรอิตาลีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ส่วนใหญ่รับวัฒนธรรมมาจากกรีกโบราณตั้งแต่สมัยอีทรัสกัน เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ มีอารยธรรมด้านต่างๆ มากมาย คือ : -

ด้านอารยธรรมโรมัน ได้แก่ การปกครอง การสื่อสารคมนาคม วิศวกรรม และการทหาร
ด้านการปกครอง ยึดพระจักรพรรดิมีอำนาจสูงสุด
ด้านการคมนาคม มีการสร้างถนนเชื่อมต่อเมืองต่างๆ
ด้านกฎหมาย เกิดหลักกฎหมาย “All free men are equal before the law”
ด้านเศรษฐกิจ แปรผันตามการเกษตรกรรม
ด้านสังคม แบ่งชนชั้นผู้ถูกปกครองและผู้ปกครอง
ด้านปรัชญา ได้แก่ปรัชญาของสโตอิคส์และเอปิคิวเรียน
ด้านสถาปัตยกรรม รับอิทธิผลมาจากกรีกเฮลเลนิสติก เน้นความแข็งแรงใหญ่โต เช่น :- โรงละคร วิหารพาร์เธนอน โคลีเซี่ยม โรมันฟอรัม
ด้านการประพันธ์ กวีมีชื่อคือ เวอร์จิล ผู้ประพันธ์มหากาพย์อีเนียด (Aeneid)


ศิลปะโรมัน

509 BC- ค.ศ. 475



เป็นชนเผ่าลาตินซึ่งมีเชื้อสายอินโด-ยูเปียน เช่นเดียวกันกับกรีก อพยพมาทางเหนือของแหลมอิตาลีนับพันปีก่อนคริสตร์กาล ราว 509 BC โรมันสามารถเอาชนะอีทรัสกันได้ และเริ่มต้นของอาณาจักรโรมันตามนักประวัติศาสตร์โบราณ สาธารณรัฐโรมันได้ถูกตั้งขึ้นในภายหลังได้มีการขยายและแข็งแกร่งขึ้นโดยการรวบรวมอาณาเขตแว่นแคว้นของดินแดนต่างๆให้อยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ทหารโรมันได้กวาดไปทางตะวันออกผ่ากรีกไปสู่เมโสโปรเตเมียตะวันตกไปถึงอังกฤษข้ามทะเลไปถึงอียิปต์ตลอดไปถึงริมอาฟริกาทางตอนเหนือ ใน 27 BC เมื่อและอ็อคตาเวียนได้เปลี่ยนชื่อเป็น Augustus Caesar (ซีซาร์เป็นตำแหน่งทางการเมือง)กรุง Rome ได้กลายเป็นจักรวรรดิอย่างเป็นทางการ

โรมันมีความเชื่อว่าตนเองมีบรรพบุรุษจากเจ้าชายชาวทรอย มีบทบาทปรากฏใน Illiad ของ Homer's คือ Aeneas ผู้ซึ่งหลบหนีหลังจากที่เมืองทรอยถูกปล้น และตั้งบ้านเรือนและมีการปกครองในบริเวณนี้ ต่อมามีลูกหลานจนถึงสมัยของสองพี่น้องคือ Numiter และ Amulus เกิดแย่งชิงสมบัติกัน อามิวรุสสามารถแย่งชิงสมบัติจากพี่ได้แล้วประหารโอรสของพี่ชายจนหมด เหลือไว้เพียงธิดาองค์หนึ่ง Rhea Sylvia ซึ่งต่อมาได้มีลูกฝาแฝดขึ้นตามตำนานว่าลูกนี้เกิดจากเทพมาร์ส เทพแห่งสงคราม เนื่องจากนางเกรงลูกจะถูกประหารจึงนำเด็กใส่ตระกร้าลอยน้ำไปแม่หมาป่ามาพบจึงนำไปเลี้ยง ต่อมาชาวบ้านเลี้ยงแกะมาพบจึงตั้งชื่อว่า โรมิวรุส(Romulus)และ เรมุส(Remus) เมื่อเติบใหญ่ได้กลับมาฆ่าอามิวรุสและชิงสมบัติคืน จากนั้นจึงสร้างเมืองขึ้นใหม่ใช้ชื่อว่าโรมตามชื่อโรมิวรุสนั่นเอง เมืองโรมถูกตั้งตอนแรกในยุค Etruscan ใน 753 BC ตำนานนี้ปรากฏในภาพ She-Wolf สำหรับภาพ Romulus และ Remus ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในสมัย Renaissance เพื่อให้รูปหมาป่า Bronze นี้มีความสมบูรณ์ ภาพนี้ทำหน้าที่ในฐานะสัตว์ที่เคารพ ของโรม เป็นไปได้ว่าเคยตั้งอยู่บน Capitoline Hill ในโรมในช่วงปี 296 BC She-Wolf ทำให้ระลึกถึง Roman ในเรื่องความจงรักภักดี การรักชาติและแผ่นดินของแม่

ศาสนาและปรัชญา

ศาสนาและปรัชญาของโรมันรับมาจากกรีกเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น เทพเจ้าต่างๆผสมกับความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจประจำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำธาร ผีเรือน เตาผิง แม้จะรับวัฒนธรรมกรีกแต่โรมันก็ไม่นิยมพิธีกรรมและศาสนกิจของกรีก ไม่มีการบูชาเทพเจ้าอย่างใหญ่โต หน้าที่ส่วนใหญ่ทางศาสนาจะเป็นของพระและชั้นปกครองมากกว่าประชาชนทั่วไป

แม้โรมันมักจะลอกเลียนแบบปรัชญาและศาสนามาจากกรีกแต่จะเน้นที่มีผลด้านการปฏิบัติมากกว่า ด้านศาสนาและปรัชญาฝั่งตะวันออกนั้น โรมันรับความเชื่อที่ว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพมาใช้เพื่อประโยชน์ด้านการปกครอง นอกจากนับถือเทพต่างๆแบบกรีกแล้วพระเจ้าอีกองค์คือจักรพรรดิ์ โรมันมีความชำนาญและเข้มแข็งทางด้านการบริหาร กฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง เมื่อเปรียบกับกรีกแล้วพบว่ากรีกจะเน้นการบูชาในเรื่องเหตุผลในขณะที่โรมันเคารพในอำนาจ กรีกชอบแสดงความเห็นส่วนตัวและยกย่องเสรีภาพส่วนบุคคล ในขณะที่โรมันเน้นเรื่องการควบคุมตนเองให้อยู่ในวินัยและระเบียบแบบแผน ผลคือกรีกจะมีความโดดเด่นในทางสร้างสรรค์และเป็นนักปรัชญา นักทฤษฎีแต่โรมันจะมีความสามารถด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์



ศิลปกรรมของโรมัน

กรีกถูกพิชิตโดยโรมัน แต่กลับนำศิลปะและวัฒนธรรมที่เจริญกว่ามาชนะใจชาวโรมันทำให้ชาวโรมันยอมรับในศิลปะกรีก BC)เหมือนกับ Philip ของ Macedon และ Alexander ซึ่งเขาทั้งหลายได้พิจารณาแล้วว่า วัฒนธรรมและศิลปะกรีกนั้นเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่นใดแต่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบ้างให้สอดคล้องกับอุปนิสัย ธรรมเนียมประเพณีและความคิด ทำให้งานทั้งสองชาติต่างกันบ้างโดยกรีกเน้นความเรียบง่ายสง่างาม เพื่อแสดงพุทธิปัญญาและความเป็นปราชญ์ แต่โรมันเน้นความหรูหรา สง่างาม อำนาจ ศิลปกรรมสนองความต้องการทางกายและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์ เหมือนกันกับจักรวรรดิ์ Hellenistic ที่เกิดก่อน จักรวรรดิ์โรมันได้ยึดเอารูปแบบลักษณะ(character) ของกรีกอย่างชัดเจน จักรวรรดิ์โรมันได้ขนเอางานศิลปะของกรีกจำนวนนับพันรวมถึงการ Copy อีกจำนวนมหาศาล จริงๆแล้วจำนวนไม่น้อยของงานศิลปะกรีกในปัจจุบันเรารู้จักผ่านการ Copy ของโรมันแทบทั้งนั้น(ของกรีกแท้เหลือน้อยศิลปะกรีกส่วนใหญ่คือศิลปะกรีกที่โรมันทำจำลองขึ้น) เทพของกรีก ถูก Adapted สู่ศาสนาของโรมัน Jupiter จากภาษากรีกเป็นภาษาละติน กลายเป็น Zeus เทพ Venus กลายเป็น Aphrodite และอื่นๆอีกมาก

ในช่วงแรกๆโรมันใช้แบบแผนสถาปัตยกรรมของกรีก ในการก่อสร้างอาคารและวิหารของตน ชอบเป็นพิเศษในเรื่องของการประดับตกแต่งอย่างมากมายตามแบบแผนของ Corinthian จำนวนมาก(หากไม่ใช่ทั้งหมด)ของศิลปินโรมันคือคนเชื้อชาติกรีกจนกระทั่งเขาทั้งหลายได้กลายเป็นคนโรมัน( Romanized)ไป ในที่สุด ในช่วงหลังโรมันมีการพัฒนาด้านศิลปกรรมมากขึ้นโดยเฉพาะเห็นได้อย่างชัดเจนด้านสถาปตยกรรมที่มีรูปแบบเฉพาะตัวและเทคนิคที่มีความโดดเด่น แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันสถาปัตยกรรมจำนวนมากก็ได้อิทธิพลทางด้านรูปแบบและวิธีการมาจากโรมัน



ศิลปกรรมสมัยสาธารณรัฐ

เริ่มตั้งแต่สมัยหลังจากที่ได้ขับไล่กษัตริย์อีทรัสกันออกจากอำนาจจวบจนถึงการลอบสังหารจูเลียส ซีซาร์ และอ็อคตาเวียนสถาปนาตนเองเป็นออกุสตุสถือเป็นอันสิ้นสุดยุคสาธารณรัฐ ศิลปกรรมสมัยนี้ยังคงได้รับอิทธิ พลของศิลปะอีทรัสกันและเฮเลนนิสติกส์ซึ่งเจริญมาก่อน ทางอีทรัสกันเคยเจริญและเป็นนายของโรมันมาก่อน ส่วนทางกรีกนั้นหลังจากโรมันมีอำนาจเหนือกรีก ช่างกรีกจำนวนมากได้เดินทางเข้าไปทำงานในอาณาจักรโรมันและสอนวิชาช่างแก่ชาวโรมัน ทำให้ลักษณะของศิลปะกรีกไม่สามารถแยกจากโรมันได้ ศิลปะกรีกและอีทรัสกันเปรียบเหมือนมารดาของศิลปะโรมันแต่ในทางกลับกันหากไม่มีโรมันแล้วศิลปะเฮเลนิสติกและศิลปะกรีกอื่นๆ คงจะไม่มีผู้เผยแพร่ขยายออกไปยังชาติอื่นๆ รวมถึงไม่สามารถเผยแพร่ขยายมายังยุคสมัยหลังด้วยเพราะโรมันเป็นผู้มีส่วนสำคัญทั้งในการอนุรักษ์และพัฒนา



ประติมากรรม

โรมันยังขาดประติมากรผู้มีฝีมือสูงในระยะแรกๆ จึงนิยมขนประติมากรรมกรีกไปประดับอาคารสถานที่ต่างๆของตนทั้งทางสาธารณะและสมบัติส่วนตน 146 ปีก่อน ค.ศ.มีบันทึกว่าโรมันขนรูปหล่อสำริด 285 รูป รูปสลักหินอ่อน 30 รูปจากเมืองคอรินธ์ หรือสมัยจักรพรรดิเนโรก็ได้ขนรูปหล่อสำริด 500 รูปจากเมืองเดฟีไปไว้ในกรุงโรม ครั้นต่อมางานกรีกเริ่มหร่อยหรอน้อยลง จึงเกิดการทำการลอกเลียนผลงานกรีกชิ้นเยี่ยมๆที่มีชื่อเสียงของกรีกขึ้นมาใหม่ ซึ่งผลงานเหล่านี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันมีผลงานของกรีกเหลือให้ศึกษาจำนวนมากรวมถึง Spear Bearer ด้วย นอกจากนี้ยังมีการลอกเลียนรูปแบบงานในราชสำนัก(official)ของกรีกด้วย ดังเช่น Figures ของจักรพรรดิ์ Augustus of Prima Porta เป็นตัวอย่างว่าได้แบบอย่างจากศิลปะกรีกที่มีมาก่อน แต่มันอาจจะผสมศิลปะ Etruscan ในลักษณะด้านความอบอุ่นและความเป็นมนุษย์มีชีวิตชีวาของมัน(Warmth and Humanity)ลักษณะดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจพิเศษให้กับศิลปะที่ Roman เก่งมากเป็นพิเศษคือภาพเหมือนของบุคคลทั่วไป ต่างจากกรีกที่นิยมเทพเจ้าและชนชั้นปกครอง

ชาวโรมันมีประเพณีนิยมการทำ อิมเมจินส์(Imagines = หน้ากากขี้ผึ้ง) โดยใช้ขี้ผึ้งหล่อหน้าบรรพบุรุษเก็บไว้บูชา จากความนิยมนี้ทำให้การสร้างภาพเหมือนมีความเจริญมาก ซึ่งการทำศิลปะแบบเหมือนจริงนี้อาจได้รับอิทธิพลจากอีทรัสกัน

ดังนั้นประติมากรรมในสมัยสาธารณรัฐจึงพอสรุปได้ว่ามี 2 กระแสคือ

1. การสร้างเทวรูปเคารพซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของศิลปะกรีกแบบเฮเลนิสติก ซึ่งประติมากรโรมันจะขาดบุคลิกส่วนตัว

2. ส่วนแนวที่สองนั้นทำตามรูปแบบเหมือนจริงตามแบบอีทรัสกันและชอบทำรูปเคารพบรรพบุรุษของตัวเอง

หากพิจารณาแนวที่ 2 นี้จะพบว่ามีความแตกต่างกับประติมากรรมของกรีกโดยประติมากรรมของกรีกเน้นความสมบูรณ์แบบอุดมคติแต่ของโรมันแนวอีทรัสกันนี้เน้นความเหมือนจริงว่ากันว่ารูปบางรูปแสดงสีหน้าของอาการป่วยของผู้เป็นเจ้าของรูปออกมาได้เลย ดังเช่นตัวอย่างหนึ่งคือ Portrait ของคู่สามีภรรยาผู้เต็มไปด้วยลักษณะสมจริงของตัวบุคคลอย่างชัดเจน เราไม่อาจรู้จักตัวจริงของเขา แต่มันสามารถสรุปได้แน่นอนจากที่เห็นว่าภาพๆนี้มีลักษณะท่าทางที่เป็นจริง มีลักษณะของแบบอย่างอุดมคติน้อยที่สุด ภาพสามีชราที่มีรอยย่นบนหน้าเป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดี มีผู้วิเคราะห์ว่าอาการเจ็บป่วยได้ถูกแสดงออกมาในภาพของเขา ภรรยาของเขาดูแข็งแรงกว่าปราศจากสัญลักษณ์ของอาการเจ็บป่วยและสัมผัสมือของสามี นักวิชาการวิเคราะห์ว่าRoman ยึดมั่นในความศรัทธาในการซื่อสัตย์ในการพรรณนาภาพที่ตรงกับความจริงมาก อย่างไรก็ตามประติมากรรมกรีกและจำนวนมากของภาพคนโรมันมีลักษณะที่แตกต่างกันมากในประเด็นนี้ portrait นี้น่าอัศจรรย์มากที่เราสามารถคาดเดาถึงเจ้าของมันได้แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วกว่า ๒๐๐๐ ปี



สถาปัตยกรรม

โรมันได้ผสมผสานความรู้ด้านสถาปัตยกรรมจากกรีกและอีทรัสกันและนำความรู้นั้นมาสนองความต้องการของตนเองซึ่งคำนึงถึงด้านประโยชน์ใช้สอยมากกว่าฉพาะเพียงด้านความงาม นอกจากจะนำรูปแบบหัวเสาของกรีกมาใช้ โดยเฉพาะนิยมนำแบบคอรินเธียนมาใช้แล้ว ยังมีการคิดประดิษฐ์หัวเสาที่เรียกว่าคอมโพไซท์(Composite)โดยมีลักษณะผสมผสานระหว่างไอโอนิคกับคอรินเธียน มีการนำระบบก่อสร้างแบบ Arch กับ Vault ซึ่งพวกอีทรัสกันเคยใช้มาพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้น เช่นนำ Vault มาทำโครงสร้างหลังคาสร้างเป็นรูปโดม ด้านวัสดุก่อสร้างนอกเหนือจากหินอ่อนมีการนำหินลาวาและดินบางชนิดจากภูเขาไฟมาใช้ วัสดุเหล่านี้มีความทนทานเหมาะที่จะทำถนน นอกจากนี้ในยุคหลังๆยังมีการค้นพบซีเมนต์ จากการผสมทราย ปูนขาว หินซิลิกา หินจากเถ้าภูเขาไฟและน้ำมาผสมกัน ซึ่งทำให้การก่อสร่างมีความรวดเร็ว คงทนและประหยัด

โรมันเน้นประโยชน์ทางด้านการปฏิบัติ(Pracmatic)และหลักความจริงมากกว่าอุดมคติดังเช่นกรีก ดังนั้นสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จึงเป็นอาคาร สิ่งก่อสร้าง ถนน สาธารณะมากกว่าวิหารเทพเจ้า สถาปัตยกรรมของโรมันจึงนิยมสร้าง

1. วิหารและสุสาน

2. สถานที่อาบน้ำสาธารณะ

3. โรงมหรสพและสนามกีฬา

4. โฟรุ่มและบาซิลิกา

5. อาคารที่พักอาศัย

6. สะพานและท่อส่งน้ำ

ที่โดดเด่นที่สุดของสถาปัตยกรรมสมัยสาธารณรัฐของโรมันคือการสร้างวิหารและสุสาน

วิหารและสุสาน นิยมสร้างแบบกรีกผสมกับแบบอีทรัสกันแบบอีทรัสกันคือ อาคารยกสูง จะมีบันไดขึ้นทางด้านหน้าด้านเดียว อาคารปิดทึบไม่มีระเบียงรอบเหมือนแบบกรีก เสาที่มีเป็นเสาหลอกไม่ได้รับน้ำหนักอาคาร ลักษณะดังกล่าวเช่นวิหาร Temple of Fortuna Virillis ราว 200 BC. นอกจากวิหารแบบเหลี่ยมแล้วแบบกลมก็พบด้วย วิหารที่มีชื่ออีกแห่งคือวิหารของเทพีฟอร์จูนา พริมิจิเนีย Fortuna Primiginia ที่เมืองพาเนสเต สร้างเพื่อถวายเทพีฟอร์จูนาเทพีแห่งโชคชะตา วิหารแห่งนี้สร้างคร่อมบนเนินเขา อาคารมีระดับสูงต่ำลดหลั่นกัน 7 ชั้น เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของโรมัน ทางเดินขึ้นไปสู่ชั้นบนคล้ายซิกูรัตของเมโสโปรเตเมีย วิหารนี้ในยุคกลางได้มีชุมชนเข้ามาอาศัยอยู่และสร้างต่อเติมจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แห่งนี้ได้โดนระเบิดทำให้ซากอาคารโบราณเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

สถาปัตยกรรมอีกแห่งที่สำคัญคือเมืองปอมเปอี เฮอคูลาเนียม และสตาปิเอซึ่งถูกภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดและลาวาถล่มทับในราว ปี ค.ศ. 79 เมืองเหล่านี้อาจไม่มีความสำคัญนักแต่ก็แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตตลอดจนสภาพบ้านเมืองในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นที่เก็บรักษาจิตรกรรมสมัยโรมันให้รอดพ้นจากการถูกทำลายโดยธรรมชาติและคน



จิตรกรรม

หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว Roman เป็นชาติที่มีความชำนาญด้านการ Painting เช่นกัน เรารู้จักรจิตรกรรมโรมันเพียงเล็กน้อยกว่าจิตรกรรมกรีก จากเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นใน 79 AD ในปีนั้นภูเขาไฟ Vesuvius ได้เกิดระเบิดขึ้นและฝังเมือง Pompeii ซึ่งอยู่ห่างออกไปร้อยไมล์ทางตอนใต้ของกรุงโรมระหว่างเมืองของ Iterculaneum ผลคือ Lava และขี้เถ้าแพร่ห่มคลุมพื้นที่และทำหน้าที่เหมือนกับ Capsule แห่งกาลเวลา Pompeii ได้ถูกฝังโดยไม่ถูกรบกวนจากธรรมชาติมากว่า 16 ศตวรรษกระทั่งในปี 1748 ได้มีการขุดค้นภายใต้การค้นหาของนักโบราณคดีชาวเยอรมัน Joachim Winckelmann ในพื้นที่ของ Pompeii ค้นพบ Frescoes อันน่ามหัศจรรย์นั้นได้ถูกรักษาเป็นอย่างดี Pompeii ไม่ใช่เมืองสำคัญ เราไม่สามารถสรุปได้ว่าศิลปินชั้นยอดมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ แต่มันคือหลักฐานบางอย่างที่ อย่างไรก็ตามจิตรกรรมฝาผนังนี้ให้การระบุถึง Style ของวิธีการทางศิลปะบางอย่างในจักรวรรดิ์ ณ ช่วงเวลานั้น

จิตรกรรมที่เหลือรอดที่เมืองปอมเปอีมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น มีการวาดภาพที่มีสถาปัตยกรรมประกอบเรื่องราว ใช้เทคนิคการวาดแบบ Perspective แม้จะดูมีระยะใกล้ไกล แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์นักด้วยข้อจำกัดด้านวิทยาการ เช่นที่ Villa of the Mysteries ใกล้เมืองปอมเปอี การวาดแสงเงามีปรากฏให้เห็นที่ Villa Farnesian นอกจากนี้ยังมีการวาดด้วยเทคนิคการลวงตา เช่นวาดหน้าต่างให้มองเห็นวิวหลอก (Window Views) วาดเสาให้ดูทำหน้าที่คล้ายกับเสาจริง เขียนด้วยเทคนิค Fresco บนกำแพงของบ้านพัก มีการสร้างทัศนียภาพเชิงบรรยากาศและผลการรับรู้ด้าน 3 มิติถูกทำให้เกิดด้วยเทคนิค Chiaroscuro มีที่ ปอมเปอี หรือการวาดที่ดูคล้ายการนำรูปภาพหลายๆรูปมาประดับตกแต่งผนัง เช่นที่ House of yhe Vetii เนื้อหาในการวาดส่วนมากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้า ทิวทัศน์หรือพิธีกรรม

นอกจากนี้ทางจิตรกรรมยังมีการทำโมเสก ซึ่งเคยมีมาก่อนในเมโสโปเตเมียและกรีก ภาพที่มีชื่อเสียงอยู่ที่ House of the faun ที่ปอมเปอี ทำเป็นรูปพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สู้กับพระเจ้าดาริอัส



ศิลปกรรมสมัยจักรวรรดิ์

กินระยะเวลาตั้งต่ 27 BC- 285 AD. ตั้งแต่จูเลียส ซีซาร์ถูกสังหาร สาธารณรัฐโรมันเดิมเกิดกลียุค เกิดการรบแย่งชิงอำนาจ อ็อคตาเวียน ซีซาร์หลานของจูเลียส ซีซาร์ได้ปราบปรามบ้านเมืองและสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิ์ ตั้งแต่สมัยพระองค์ไปอีกราว 150 ปี บ้านเมืองค่อนข้างสงบไม่มีสงครามใหญ่ บางคนก็ว่าเป็นสมัยที่มนุษย์ชาติมีความสุขมากที่สุด โรมมีพลเมืองกว่าล้านคน บ้านเมืองใหญ่โต สวยงาม ศิลปกรรมสมัยนี้มีความเจริญสูงสุด



สถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมที่สำคัญในสมัยนี้มี

1. โฟรัม(Forum)เป็นย่านชุมนุมชน สถานที่ราชการ ตลาด คล้ายกันกับ อโกลา (agora)ของกรีก โฟรัมจะมีอยู่ในทุกๆเมือง ขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนพลเมืองหากเมืองมีขนาดเล็กโฟรัมก็จะมีแห่งเดียวแต่หากเป็นเมืองใหญ่ก็อาจมีหลายโฟรัม โฟรัมจะมีลักษณะเป็นลานกว้างแต่บางแห่งอาจจะมีหลังคา บริเวณรอบๆจะรายล้อมด้วย อาคาร สถานที่ราชการ วิหาร หอสมุด ที่มีชื่อเสียงในนสมัยจักรวรรดินี้คือโฟรัมของทราจัน(Forum of Trajan)ซึ่งอาคารที่อยู่รายรอบมีถึง 6 ชั้น เป็นที่จำหน่ายผักผลไม้ เป็นที่เก็บไวน์และน้ำมัน เป็นร้านค้า เป็นที่เก็บอาหารและทรัพย์สินและเป็นถังเก็บน้ำจากท่อส่งน้ำด้วย

การแสดงออกที่ฟุ่มเฟือยที่สุดในสถาปัตยกรรมของรัฐโรมันคือ Forum Romanum ศูนย์กลางทางการเมืองของโรม ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้คือการสร้างขึ้นมาใหม่จากจินตนาการ ราวคริสต์ศตวรรษแรกประชากรอยู่รอบๆบริเวณนี้ราว 1 ล้านคน ทั้งหมดอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่สร้างอยู่รอบๆบริเวณ Forum เอกสารได้ระบุว่า ในเวลานั้นมี 1797 ครัวเรือนในเมือง Etruscans มีการพัฒนาที่ตั้งของตลาด แต่ในแผนพัฒนาของ Julius Caesar และการสนับสนุนของ Augustus นั้น Forum กลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจโรมันและความสูงส่งใหญ่โต ปูลาดทางเท้าด้วยหินอ่อน ครอบคลุมไปถึงระเบียงและพื้นที่ของสาธารณะชน เช่น วัด ศาลยุติธรรมและอาคารของรัฐ เช่นลานกีฬา ที่เก็บเอกสารและ Curia หรือบ้านของวุฒิสมาชิก

2. บาซิลิกา(Basilica)เป็นชื่อเรียกอาคารขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นศาลยุติธรรมและอาคารพาณิชย์ของรัฐ ที่มีชื่อเสียงมากคือ บาซิลิกา อุลปิอา(Basilica Ulpia)สร้างโดยจักรพรรดิทราจัน นามอุลปิอามีที่มาจากสกุลของจักรพรรดิ์ สร้างติดกับโฟรัมทราจันหรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของโฟรัม ผังเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านกว้างทั้งสองทำเป็นรูปครึ่งวงกลม หลังคารูปจั่ว เสาแบบคอรินเธียน บางครั้งที่แห่งนี้ใช้ทำพิธีสำคัญๆทางการเมืองและศาสนาปัจจุบันพังทลายไปมาก

3. โรงละครและสนามกีฬา(Theatres and Amphitheatres)เป็นสถานที่พักผ่อนชมกีฬา ชาวโรมันมีด้วยกันหลายแห่งแห่งที่มีชื่อคือ Colosseum หรือเรียกว่า Flavian Amplitheatre เพราะเริ่มต้นสร้างในสมัยราชวงศ์ฟราเวียน ในสมัยจักรพรรดิ Vespasian สร้างเสร็จราว ค.ศ. 80 เป็นโรงมหรสพรูปวงกลมที่มีอัฒจันทร์ล้อมรอบ สำหรับเกมกีฬาต่อสู้และความบันเทิงของสาธารณชน แรงงานส่วนใหญ่เป็นยิวซึ่งได้มาจากการที่โรมไปตีได้เยรูซาเร็มและกวาดต้อนยิวมาเป็นทาส(ยิวค่อนข้างถูกทารุณมากในสมัยโรมันเพราะนับถือในพระเจ้าองค์เดียวและหัวแข็งไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา ไม่เชื่อในเทวราชาตามแบบพวกโรมัน) สถาปนิกได้ดัดแปลงจากโรงละครกลางแจ้งของกรีกให้กลายมาเป็นสนามกีฬา เพื่อใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ของคนกับคนและคนกับสัตว์โดยเน้นการฆ่าฟันถึงตาย โดยคนดูมีส่วนร่วมในการตัดสิน โคลอสเซียมครอบคลุมพื้นที่ ราว 6 เอเคอร์หรือราว 15 ไร่มีอัฒจรรย์ล้อมรอบสนามที่อยู่ตรงกลาง มีที่นั่งสำหรับคนดูได้ราว 50000 คนซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ในบริเวณสนามเรียกว่าอรีนา(Arena = แปลว่าทรายหรือหาดทราย)เป็นพื้นทรายเพราะใช้ดูดซับเลือดได้ดี บางครั้งก็อาจจุน้ำได้หากเป็นการต่อสู้ทางน้ำในโอกาสพิเศษ นักสู้เรียกว่า Gradiator จะสู้รบกับคู่ต่อสู้หรือกับสัตว์ป่าซึ่งเป็นการแข่งขันที่น่าสยดสยองและเต็มไปด้วยเลือดมากผิดปกติ ด้วยความที่เป็นสนามกีฬาใหญ่จึงต้องคิดระบบระบายคนเข้าออกอย่างรวดเร็วโดยการทำช่องทางเข้าออก 80 ช่องรอบๆสนาม เมื่อเกมจบ อาคารจะว่างเปล่าในช่วงไม่กี่นาที ซึ่งเป็นการออกแบบอาคารที่มีระบบการระบายคนได้อย่างยอดเยี่ยม มุมมองจากภายนอกทำให้เราเข้าใจถึงลักษณะที่อยู่ข้างในตลอดจนผังทั้งหมดของมัน ปัจจุบันมันอาจดูโรแมนติคสำหรับนักท่องเที่ยวและถือเป็นมงกุฎของอาณาจักรโรมันเลยทีเดียว

การก่อสร้างโคลอสเซียมใช้ระบบ Arch และ Vault รับคาน(Linten) ซึ่งแบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ชั้น มีการใช้เสาประดับแตกต่างกันไป ชั้นล่างเป็นแบบดอริก ชั้นสองเป็นแบบไอโอนิค ชั้น 3 เป็นแบบคอรินเธียน ชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นบนสุดเป็นเสาหลอกแบบผ่าครึ่งซีก(Pilaster)ติดประดับไว้ วัสดุที่ใช้ประกอบด้วยหินลาวา อิฐและคอนกรีต รวมถึงหินอ่อนที่ใช้ประดับตกแต่ง โคลอสเซียมแสดงให้เห็นถึงความสามารถด้านสถาปัตยกรรมของโรมัน

นอกจากสนามกีฬาแล้วยังมีโรงมหรสพซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจากกรีกด้วย แต่ไม่ได้สร้างตามเนินเขาเหมือนกรีก สร้างด้วยคอนกรีตและนิยมสร้างในเมือง แผนผังยังคงคล้ายของกรีกคือมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม พื้นที่ล่างสุดเป็นที่สำหรับแสดงละคร บางครั้งก็เปลี่ยนมาใช้เป็นที่ประชุม ที่นั่งผู้ชมจะลดหลั่นแบบอัฒจรรย์ทั่วไป ความสำคัญอยู่ที่การคำนานเรื่องระบบเสียงและการมองเห็นเพื่อผู้ชมเห็นและได้ยินการแสดงอย่างชัดเจน โรงมหรสพที่มีชื่อเสียงคือ The Opeion of Herodes Athicus อยู่ที่เอเธนส์ สร้างในปี ค.ศ. 161

4. สนามกีฬาหรือเซอร์คัส(Circus) ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของโรมันอีกแห่ง ส่วนใหญ่ใช้แข่งม้า ที่มีชื่อเสียงมากคือสนามกีฬา แมกซิมุส The Circus Maximus อยู่ในโรมครั้นจูเลียส ซีซาร์เรืองอำนาจ ต่อมาอ็อคตาเวียนได้บูรณะขึ้นใหม่ ในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียน ได้ตกแต่งให้งดงามขึ้นและปรับปรุงป็นสนามแข่งรถยาวประมาณ 2000 ฟุต กว้าง 650 ฟุต บรรจุคนดูได้ 25000 คนเป็นอีกที่ที่มีคนตายมากเพราะในการแข่งไม่มีกติกาใดๆทั้งสิ้นจะชนรถคู่แข่งให้คว่ำก็ได้ จะทับคนที่นอนอยู่ให้ตายก็ได้ ขอเพียงให้เข้าถึงเส้นชัยถือเป็นชัยชนะ

5. วิหาร(Temple)ที่สำคัญในยุคจักรวรรดิต้นคือวิหารแพนเธออน(Pantheon)หมายถึง The temple to “all of God” Pantheon เป็นสถาปัตยกรรมสำคัญ สร้างขึ้นราว 27-25 BC โดยจักรพรรดิมาร์คุส วิบซานิอุส อะกริบปา จุดมุ่งหมายในการสร้างไม่ชัดเจนต่อมามีการสร้างใหม่ในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน ใน ค.ศ. 126 และซ่อมใหญ่ในปี ค.ศ. 202 โดยจักรพรรดิ์ เซพติมิอุส เซเวรุส และคาราคาลา การก่อสร้างในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเทวสถานของเทพเจ้าโรมัน 7 องค์หรือเทพแห่งดาวในระบบสุริยะ Apolloพระอาทิตย์ Diana พระจันทร์ Mars อังคาร Mercury พุธ Jupiter พฤหัส Venus ศุกร์ Saturn เสาร์

ผังของแพนเธออน ทางเข้าด้านหน้าทำเป็นมุขเหมือนวิหารกรีก ที่มีเสาตั้งเรียงกันอยู่เป็นเสาแบบคอรินเธียน ส่วนด้านในเป็นรูปทรงกระบอกคล้ายถังน้ำมันขนาดใหญ่ หลังคาเป็นโดมครึ่งวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 144 ฟุต ตัวโดมทำด้วยคอนกรีต ตรงกลางเจาะรูให้เห็นท้องฟ้าและรับแสงสว่างเรียกว่า Oculus แปลว่าตา(ซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์ของตาจากสวรรค์)เส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ฟุต ความสูงจากพื้นถึงหลังคาประมาณ 140 ฟุต เกือบจะเหมือนกับเป็นการผสมกันระหว่างแทงค์น้ำมันกับประตูด้านหน้าวัดในยุค Classic

การประดับตกแต่งภายในของ Pantheon เราอาจดูได้จาก Panini Painting ในบทที่ 13 (374)คือความประทับใจแม้จะวัดจากมาตรฐานในปัจจุบัน ความสูง 142 ฟุตและความกว้าง 140 ฟุต รอบๆฐานคือช่องที่ทำเข้าไปในกำแพง 7 ช่องซึ่งแต่เดิมประดับประติมากรรมลอยตัว(สามารถเห็นได้ในจิตรกรรมปัจจุบันไม่มีแล้ว)ของเทพเจ้าบนฟ้า อันได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ Mercury Venus Mars Jupiter และ Saturn ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นคือระดับการลดหลั่นของโดมได้แผ่ออกในลักษณะของครึ่งวงกลมอันสมบูรณ์แบบ และมีการเซาะออกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ค่อยๆลดระดับ เรียกว่า “Coffers” ที่ซึ่งทำให้โดมโปร่งเบาทั้งทางด้านสายตาและทางด้านโครงสร้าง

ผู้มาเยี่ยมชมในปัจจุบันรู้ดีถึงความกว้างใหญ่ของ Space ภายในดังเช่น Sports Stadiums ควรระลึกด้วยว่าโรมันนั้นไม่มีวัสดุไฮเทคที่ช่วยในการสร้าง Space อาคาร Pantheon เป็นการสร้างด้วย Concrete อย่างง่ายๆซึ่งอาจจะทำให้เรารู้สึกประหลาดใจในอัจฉริยะทางด้านสถาปัตยกรรมที่ต้องการ Enclose ปิดล้อมบริเวณว่างขนาดนี้ด้วย Concrete สามารถสร้างพื้นที่ปิดเป็นรูปทรงตามต้องการด้วย Concrete และรักษาพื้นที่ปิดนี้ได้มากว่า 2000 ปี Pantheon ได้มีการใช้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงแรกของศตวรรษที่ 7 มันกลายเป็นโบสถ์คริสเตียน กรรมวิธีการก่อสร้างและรูปแบบแพนเธออน ได้ให้อิทธิพลแก่งานศิลปะในยุคหลังหลายแห่งเช่น สตา โซเฟียที่คอนสแตนติโนเปิ้ล โบสถ์ของวัดประจำเมืองในฟลอเรนซ์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ในโรม เซนต์ปอลในลอนดอน บ้านพักของประธานาธิปดีโธมัสเจฟเฟอร์สันในมอนติเชลโล นอกจากนี้แพนเธออนยังเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนาชื่อ สตา มารีอา โรทอนดา และยังเคยเป็นที่ฝังศพของราฟาเอลและไมเคิลแองเจโลด้วย

6. โรงอาบน้ำสาธารณะหรือเธอเม(Thermae or Bath) Thermae มาจาก Thermos แปลว่าร้อนในภาษากรีก ใช้สำหรับเรียกชื่ออาคารสถานที่ที่ใช้สำหรับอาบน้ำกับที่ออกกำลังกายในร่มของชาวโรมัน

ในสมัยอาณาจักรต้น เธอเมจะทำอย่างวิจิตรและหรูหราและฟุ่มเฟือย เนื่องจากโรงอาบน้ำนั้นเป็นที่บำรุงความสุขของคน และคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยเท่านั้นจึงจะเป็นเจ้าของได้เพราะการอาบน้ำจะทำไปพร้อมกับการอบตัว ดังนั้นรัฐจึงจัดสถานที่ เช่น โรงมหรสพ สนามกีฬา สถานที่อาบน้ำสาธารณะ สำหรับคนทั่วไปให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ นอกจากจะใช้เป็นที่อาบน้ำและอบตัวแล้วในบางครั้งอาจใช้เป็นที่พบปะ ประชุม พูดคุย ถกกันในเรื่องต่างๆของชนทุกชั้น ไม่ว่าจะเป็น พลเมืองทั่วไปและนักปกครองด้วย บางครั้งอาจใช้เป็นที่แสดงการละเล่นต่างๆรวมถึงแสดงดนตรี

เธอเมที่สำคัญเป็นของจักรพรรดิคาราคารา(Bath of Caracalla) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 215 มีความกว้าง 120 หรา ยาว 240 หราจุคนได้ 1600 คน

7. ประตูชัย(Triumphal Arch)จัดเป็นอนุสาวรีย์ประเภทหนึ่ง สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะจากสงคราม สร้างโดยจักรพรรดิ์ นิยมสร้างคร่อมถนนโดยทำเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ตรงกลางทำเป็นทางลอดและประตูโค้ง บริเวณส่วนหน้าและหลังประดับด้วยประติมากรรมและข้อความจารึกเหตุการณ์หรือวีรกรรมของผู้สร้างที่ได้ชัยชนะจากสงคราม ประตูชัยที่สำคัญๆได้แก่ ประตูชัยของติตุสในโรม สร้างขึ้นราว ค.ศ. 1 เพื่อรำลึกชัยชนะของพระองค์ที่มีต่อพวกจูดาห์ ประตูชัยของทราจันที่เบเนเวนโต ซึ่งสร้างฉลองถนนเวีย ไตรอะนาที่ยาว 200 ไมล์เชื่อมระหว่างกรุงโรมกับเมืองท่าบรินดิสิ นับเป็นประตูชัยแห่งเดียวที่ไม่ได้เน้นเรื่องสงครามเหมือนประตูชัยอื่นๆ

8. สะพานและท่อส่งน้ำ(Bridges and Aqueduct) การทำท่อน้ำมีทั่วไปในอาณาจักรโรมันเพื่อบริการน้ำสะอาดแก่ประชาชน เพราะเป็นบริการจากรัฐ น้ำจะแยกจากท่อใหญ่ไปตามท่อเล็กๆที่ทำด้วยตะกั่ว ท่อดินเผา หรือท่อไม้เข้าสู่เธอเม บ้านเรือน หรือตามที่สถาธารณะ เช่น น้ำพุ เป็นต้น ประมาณการณ์กันว่าโรมในสมัยนั้นใช้น้ำวันละ 350 ล้านแกลอน นอกจากโรมแล้วเมืองอื่นๆก็มีท่อลำเลียงน้ำเช่นนี้เหมือนกัน บางแห่งต้องลำเลียงน้ำผ่านหุบเขาและที่ลุ่มจึงจำเป็นต้องยกท่อให้ได้ระดับไม่เช่นนั้นน้ำจะไหลออกหมด ท่อน้ำที่มีสะพานรองรับยกระดับน้ำผ่านหุบเขาและที่ลุ่มที่มีชื่อเสียงมากคือ Pont Du Gard ที่เมืองนิมส์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีช่วงที่ข้ามช่องเขาหลายตอนด้วยกัน การก่อสร้างใช้ระบบอาร์ค Arch หรือประตูโค้งกว้างช่องละ 82 ฟุตใช้หินก้อนละประมาณ 2 ตันวางเรียงกันโดยไม่ต้องใช้ซีเมนต์เชื่อม บางตอนอยู่ลึกมากจำเป็นต้องใช้ฐานรองรับถึง 3 ชั้นมีความสูงราว 50 เมตร มีความยาวจากแหล่งต้นน้ำถึงเมืองนิมส์ราว 30 ไมล์ ลำเลียงน้ำได้ราววันละ 100 แกลอน

สถาปัตยกรรมอื่นๆของโรมัน เช่น อาคารที่พักอาศัยคล้ายแฟลตหรืออพาร์ทเม้นท์สูงหลายชั้น หรือพระราชวังของจักรพรรดิก็มีปรากฏอยู่เช่นกัน



สรุปแนวทางสถาปัตยกรรมของโรมันได้ 4 อย่าง

1. ส่วนมากมีเน้นวัตถุประสงค์ด้านการใช้งานแก่สาธารณะเป็นประการสำคัญ สถานที่ทางศาสนาเช่นเทวาลัยก็มีบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งก่อสร้างเพื่อสาธารณชนหรือจักรวรรดิมากกว่า

2. เน้นในเรื่องความสูงสง่าความมีอำนาจน่าเกรงขาม สถาปัตยกรรมโรมันเน้นความสูงและใหญ่โต อาจเนื่องมาจากต้องการแสดงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ์ เช่น ตึก 6 ชั้นในโฟรัมทราจัน สถานที่อาบน้ำสาธารณะ ประตูชัย

3. การออกแบบภายในนิยมทำอย่างหรูหรา ชาวโรมันให้ความสำคัญกับเนื้อที่ภายในอาคารมาก โดยเฉพาะเรื่องความใหญ่โตและการประดับตกแต่ง

4. ระบบ Arch และ Vault เป็นเอกลักษณ์สำคัญของโรมันในการก่อสร้าง ช่วยให้อาคารดูไม่ทึบตัน ประหยัด สวยงาม ใช้ประโยชนในพื้นที่ได้มากเต็มที่ เพราะระบบนี้ใช้เสาน้อยกว่าระบบคานวางพาดเสาดังอาคารกรีก และยังสามารถสร้างซ้อนหลายๆชั้นดังเช่น สะพานส่งน้ำ หรือโคลอสเซียมได้ เมื่อนำ Vault หลายๆอันมาใช้ร่วมกันสามารถทำเป็น Cross Vault หรือ Groined Vault และ Cross Barrel Vault ช่วยให้ทำหลังคาเป็นโดมได้ ซึ่งทำให้พื้นที่ภายในกว้างขวาง การคิดค้นซีเมนต์-คอนกรีตได้ก็มีส่วนสำคัญต่อความเจริญด้านสถาปัตยกรรม



ประติมากรรม

จำแนกออกได้เป็น 2 แบบ

1. นิยมทำภาพนูนสูงประดับอนุสาวรีย์หรือบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ประดับตัวสถาปัตยกรรม

ชิ้นที่เก่าแก่มากคือ The Altar of Peace แท่นบูชาสันติภาพสร้างโดยจักรพรรดิ์ ออกุสตุส ราว 13-9 BC เป็นอนุสรณ์การลับคืนสู่โรมหลังจากการรบในต่างแดน ลักษณะเป็นวิหารเล็กๆ รอบๆกำแพงทั้งภายนอกและภายในมีประติมากรรมแบนประดับอยู่ แสดงเรื่องราวของจักรพรรดิกับข้าราชบริพาร ประติมากรรมประดับอนุสรณ์สถานอีกชิ้นคือภาพประดับประตูชัยติตุส ทำขึ้นราว ค.ศ. 81 บนถนน เวีย สาครา ตัวประตูชัยเป็นแบบคอรินเธียน ลักษณะทั่วไปคล้ายการสร้างโคลอสเซียม ประติมากรรมเป็นแบบนูนสูงแสดงเหตุการณ์ของติตุสที่ได้ชัยชนะจากพวกยิว

ตัวอย่างถัดไปคือ เสาของทราจัน(The Column of Trajan)สร้างโดยสภาเซเนทและประชาชน Trajan เป็นจักรพรรดิที่ทรงอำนาจของโรมใน ๙๘ A.D. บทบาทของเขาไม่เพียงในทางการเมืองแต่เป็นเรื่องการทหารด้วย ขยายดินแดนของจักรวรรดิและปกป้องมันจากการรุกรานภายนอก ในช่วงแรกของการครองราชย์ Trajan ไปรบกับเดเชี่ยน Dacians พวกยุโรปตอนกลางทางตอนใต้ของแม่น้ำดานูบ(ปัจุบันคือฮังการีและโรมาเนีย) ผู้ชอบลอบจู่โจมจักรวรรดิ์โดยไม่รู้ตัวอยู่ประจำ และได้ชัยถึง 2 ครั้ง ชัยชนะของเขาได้เฉลิมฉลองโดยใช้เสาแห่งชัยชนะเป็นอนุสาวรีย์อยู่ในกรุงโรม เสาเป็นอนุสาวรีย์ที่บันทึกเหตุการณ์ สร้างขึ้นราว ค.ศ. 113 บริเวณโฟรัมของทราจันเอง เป็นเสากลมสูง 128 ฟุต เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ฟุต ยอดเสามีรูปปั้นทราจันสูง 13 ฟุตปัจจุบันเปลี่ยนเป็นรูปเซ็นต์ปีเตอร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 รูปโทรจันเองสูญหายไป โคนเสาเป็นฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 12x 12 ฟุต มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้บรรจุศพของทราจันและเป็นอนุสรณ์แก่ชัยชนะในการรบต่อพวกดาเชี่ยน

ภายในเสากลวงมีบันไดเวียนขึ้นไปถึงยอด บริเวณด้านนอกมีประติมากรรมนูนต่ำสลักจากหินอ่อนทำเป็นแถบคล้ายผ้าพันแผลหมุนเวียนจากซ้ายไปขวารอบเสาเหมือนเกลียวสว่าน ตั้งแต่โคนเรื่อยไปจนถึงยอดมี 25 ชั้นถ้านำมาคลี่ออกจะมีความยาว 656หรือ625 ฟุตราว สนามฟุตบอล 2 สนาม แถบมีความกว้างจากโคนประมาณ 25 นิ้วและกว้างขึ้นเรื่อยๆถึงยอดกว้างประมาณ 50 นิ้ว แถบประติมากรรมนี้มีรูปลักษณะที่แบนและมีความต่อเนื่องกันไป (Continuous Narratives)ตัวประติมากรรมเป็นเรื่องราวของจักรพรรดิ์ทราจันทำสงครามกับพวกเดเชี่ยน โดยแบ่งออกเป็นตอนได้ 150 ตอน เริ่มตั้งแต่ชั้นล่างสุดเป็น Trajan ซึ่งกำลังเตรียมทำสงครามไล่ไปจนชั้นบนสุดซึ่งเป็นการพิชิต Dacians รูปคนทั้งหมดมีประมาณ 2500 รูปนอกจากนี้ยังมีรูปรถ ม้า เรือ และอาวุธต่างๆด้วย ประติมากรรมนี้เด่นตรงการบรรยายเหตุการณ์ต่างๆด้วยรูปสลักทั้งหมด ทั้งการสร้างป้อม ค่ายต่างๆแต่ทุกตอนจะเน้นบุคคลสำคัญในภาพคือจักรพรรดิทราจัน

2. ทำรูปเหมือนบุคคล

ซึ่งนิยมมาตั้งแต่สมัยเป็นสาธารณรัฐแล้ว มาถึงสมัยจักรวรรดินิยมก็ยังคงนิยมอยู่แต่ต่างกันบ้างในรายละเอียดคือสมัยสาธารณรัฐนิยมทำภาพเหมือนจริงของบุคคลให้มีความเหมือนตามจริงมากที่สุดแต่ในสมัยจักรวรรดินิยมชอบให้แสดงออกถึงลักษณะอันสง่างาม เป็นอุดมคติ โดยเฉพาะรูปชนชั้นสูงจะดูสง่างามราวเทพเจ้าของกรีก เป็นการผสมผสานระหว่างความเหมือนจริง Realism กับความเป็นอุดมคติ Idealism ส่วนรูปประชาชนทั่วไปก็ยังคงมีลักษณะแบบเหมือนจริงเช่นเดิม

รูปคนเหมือนที่มีชื่อเสียงคือรูปของจักรพรรดิออกุสตุส เวสปาเชี่ยนและฮาเดรียน อีกรูปที่สำคัญมากคือจักรพรรดิมาร์คุส ออเรลิอุสทรงม้า ที่สร้างให้จักรวรรดิโรมันรุ่งโรจน์ สันนิษฐานว่าการสร้างรูปแบบนี้ได้รับความนิยมจากจักรพรรดิทุกองค์แต่เหตุที่เหลือเพียงจักรพรรดิออเรลิอุสเพียงองค์เดียวอาจเนื่องจากถูกพวกคริสต์เตียนซึ่งเรืองอำนาจขึ้นในสมัยกลาง นำรูปเหล่านี้มาหลอมเพราะเห็นว่าศิลปะโรมันเป็นของพวกนอกศาสนา และยังเคยเป็นศัตรูแก่พวกคริสเตียนด้วย จึงทำลายรูปต่างๆของโรมันโดยเฉพาะรูปจักรพรรดิลงเกือบหมด และอาจเป็นไปได้ว่าเข้าใจว่ารูปจักรพรรดิออเรลิอุสคือรูปจักรพรรดิคอนสแตนตินผู้ประกาศอิสรภาพในการนับถือศาสนาแก่คริสเตียนและเป็นจักรพรรดิเพียงองค์เดียวที่คริสต์เตียนรัก ท่าทางของรูปอยู่ในอากัปกิริยาของผู้ทรงความกรุณา มือขวาที่ยกขึ้นคล้ายสันตะปาปากำลังประทานพร มีท่าทางราวกับพระเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าจักรพรรดิมีฐานะราวกับเทพองค์หนึ่ง ทั้งจักรพรรดิองค์นี้ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ มีสมาธิอันแกร่งกล้าและมีความเมตตาเหมอนนักบุญ ลักษณะดังกล่าวได้แสดงออกในงานประติมากรรมนี้ รูปออเรลิอุสทรงม้าก่อให้เกิดแรงบันดาลใจแก่ศิลปินในยุคหลังๆเช่น ยุคเรอเนซองที่นิยมสร้างอนุสาวรีย์รูปคนขี่ม้า และแพร่หลายไปทั่วโลก