Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม







ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ชาตะเมื่อ 11 พฤษภาคม 2443 และอสัญกรรมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2526 ศึกษาจบมัธยม 6 จากโรงเรียนตัว อย่างมลฑลกรุงเก่า แล้วเข้าศึกษาโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมในปี 2460 สอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิต เมื่อปี 2462 อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ระหว่างปี 2463-2469 ได้รับทุนไปศึกษาวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส จนได้ปริญญารัฐเป็น “ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย” (Docteur en Droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (Sciences Juridiques) และได้ประกาศนียบัตรการศึกษาขั้นสูงทางเศรษฐกิจ (Diplome d’Etudes Superieures d’ Economie Politique)

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ท่านปรีดีได้ร่วมกับข้าราชการทหารและพลเรือนจำนวน 100 กว่านายในนามของ “คณะราษฎร” ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณา-สิทธิราช มาเป็นระบอบพระมหากษัตริย์โดยรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (คนแรก) เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้เสนอ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย การต่างประเทศ การคลัง และในระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นหัวหน้าขบวนการใต้ดิน “เสรีไทย” เพื่อรักษา เอกราชและอธิปไตยของประเทศ ได้รับแต่งตั้งเป็น “รัฐบุรุษอาวุโส” และเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังวิกฤตการเมือง

2490-2492 ท่านปรีดีได้ลี้ภัยการเมืองไปพำนักอยู่ประเทศจีน และในปี 2513 ได้ย้ายไปพำนักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งถึงอสัญกรรมเมื่อปี 2526

ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยเมื่อปี 2476-2477 นั้น ท่านได้ดำเนินการก่อตั้งมหาวิทยาลัย “ตลาดวิชา” แห่งแรกของสยาม คือ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งมีลักษณะ “พิเศษ” เกี่ยวพันกับการเมืองและความเป็นไปของชาติ ตลอดจนเรื่องของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย ดังนั้นในบทความนี้ประสงค์ที่จะชี้ให้เห็นจุดกำเนิดและวิวัฒนาการเริ่มแรกของ มธก. อันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะวางแนวทางของมหาวิทยาลัยสืบต่อมา

เมื่อต้นปี 2526 อาจารย์และนักวิจัยธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ดำริที่จะทำงานวิชาการเรื่อง “ประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์” ผมซึ่งสมัยนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา (ซึ่งมี ศ. เสน่ห์ จามริก เป็นผู้อำนวยการ) และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี (ฝ่ายวัฒนธรรม เฉลิมฉลองธรรมศาสตร์ 50 ปี ซึ่งมี ศ. นงเยาว์ ชัยเสรี เป็นอธิการบดี) ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย ได้ติดต่อกับท่านผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ ณ กรุงปารีส เพื่อขอเข้าสัมภาษณ์จากท่านโดยตรง ท่านได้มีจดหมายนัดแนะอย่างเป็นทางการว่าให้ไปพบได้ในวันที่ 7 และ 9 พฤษภาคม พร้อมทั้งให้การบ้านแก่ผม ให้เตรียมตัวศึกษาไว้ก่อนล่วงหน้า คือ ท่านบอกว่าควรดู

สุนทรพจน์ของท่านเกี่ยวกับเรื่องของธรรมศาสตร์ ซึ่งท่านเคยให้ไว้ในสมัย ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี (30 มกราคม 2518 ถึง 6 ตุลาคม 2519)
นอกจากนั้นก็ให้หาประวัติเกี่ยวกับการซื้อโอนที่ดินที่ท่าพระจันทร์
ให้ดูหลักสูตรของ มธก. หลักสูตรปริญญาตรี โท และเอก
ให้ดูหลักสูตร ตมธก.
แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่าในวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 นั้น ท่านปรีดี พนมยงค์ ก็ถึงอสัญกรรมก่อนหน้าวันนัดหมายที่ผมจะไปพบท่านเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แทนที่จะได้ไปสัมภาษณ์เพื่อเขียนงานประวัติศาสตร์ ผมก็กลับกลายเป็นไปงานฌาปนกิจศพของท่านที่ทำกันอย่างเรียบง่ายและสมเกียรติที่กรุงปารีส ท่านกลายเป็นหนึ่งใน “แต่คนดี เมืองไทยไม่ต้องการ” ที่ต้องลี้ภัยการเมืองและอำนาจมืดของรัฐและจบชีวิตในต่างแดน เหมือน ๆ อย่างที่ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ก็ต้องประสบในอีก 16 ปีต่อมา ผมต้องขอขอบคุณสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ให้กู้เงินเป็นค่าเครื่องบินเดินทางและค่าใช้จ่ายในการไปร่วมงานศพครั้งนี้ ผมได้กลายเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปโดยมิได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแต่ประการใด

จากการบ้านข้างต้นที่ท่านผู้ประศาสน์การปรีดีได้ให้ไว้แก่ผม ก็อาจถือเป็นแนวทางในการสืบเสาะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น “มหาวิทยาลัยของสามัญชนที่ไม่สามัญ” ผมจะขอจำกัดเรื่องราวเพียงช่วงระยะจากปี 2477 ซึ่งเป็นปีของการสถาปนา มธก. ไปจนกระทั่งถึงช่วงประมาณปี 2490-2492 ซึ่งเป็นช่วงของรัฐประหาร 2490 และสิ่งที่เรียกกันว่า “กบฎวังหลวง 2492” หรือที่ท่านปรีดีเองเรียกว่า “ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492” ซึ่งเป็นความพยายามจะยึดอำนาจคืนจากคณะรัฐประหาร 2490 นำประเทศกลับไปสู่ประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งนั้น เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่มีระยะเวลาเพียง 15 ปีเท่านั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ท่านปรีดีเกี่ยวข้องและผูกพันกับมหาวิทยาลัยโดยตรง

หลังจากนั้นแล้วเมื่อบ้านเมืองขาดประชาธิปไตย ระบอบอำนาจนิยมเข้าครอง มหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ชื่อเดิมก็ถูกตัด คำว่า “วิชา” และ “การเมือง” ออก ฝ่ายอำนาจนิยมผลัดเวียนกันเข้ามา “รักษาการ” อย่างเช่นหลวงวิจิตรวาทการ (2493-2494) พลโท สวัสดิ ส. สวัสดิเกียรติ (2494-2495) ในฐานะตัวแทนคณะรัฐประหาร และท้ายที่สุดตำแหน่งผู้ประศาสน์การก็ถูกยุบ กลายเป็นตำแหน่งอธิการบดีที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามาดำรงอยู่เมื่อ 2495-2500 หรือจอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ยังเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ระหว่าง 2503-2506 ดังนั้นท่านปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยแต่เพียงผู้เดียว และไม่เคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีเหมือนอย่างบุคคลอื่นๆ

ในช่วงระยะเวลา 15 ปีแรกของ มธก. นั้น ประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับ ท่านปรีดีอาจแบ่งได้เป็นสามหัวข้อ และขอบรรยายตามลำดับ ดังนี้

ปรัชญาในการสถาปนามหาวิทยาลัย
การบริหาร การเรียน และการสอน (ธ.บ. และ ตมธก.)
ชีวิตและวิญญาณของธรรมศาสตร์
ปรัชญาของการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
หากจะเท้าความย้อนกลับไปในอดีตให้ไกล หรือพยายามหาความต่อเนื่องตามประเพณีของศาสตร์ว่าด้วยประวัติ และสิ่งที่นักประวัติศาสตร์มักจะชอบทำกัน (ประเภทจากภูเขาอัลไตถึงอาณาจักรน่านเจ้า เรื่อยมาถึงสุโขทัย อยุธยา แล้วก็รัตนโกสินทร์) ละก็ เรามักจะได้ยินกันว่า ธรรมศาสตร์เป็นสถาบันที่สืบเนื่องมาจากโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม โรงเรียน กฏหมายมีกำเนิดควบคู่กับโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ซึ่งก็เกิดในยุคสมัยเดียวกันกับโรงเรียนนายร้อยทหารบก (จปร.) และโรงเรียนนายเรือ โรงเรียนกฎหมายนั้นตั้งในปี 2440 ส่วนโรงเรียนข้าราชการพลเรือนตั้งในปี 2442 ทั้งสองสถาบันเป็นหลักในการปฏิรูปการศึกษา “ด้านพลเรือน”Ž โรงเรียนข้าราชการพลเรือน ได้รับการยกสถานะขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2459 ส่วนโรงเรียนกฎหมายก็ยังดำรงสถานะเดิมอยู่เรื่อยมา กว่าจะได้รับการยกฐานะก็อีกเกือบสองทศวรรษให้หลัง (แต่ก็ต้องถูกยุบไปรวมกับจุฬาฯ ในระยะเวลาสั้น ๆ อยู่หนึ่งปี เมื่อ 2476)

นั่นเป็นสิ่งที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็นความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ จากโรงเรียนกฎหมาย กลายเป็น มธก. แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้ว มธก. ก็ถือได้ว่าเป็นทั้ง “ความแปลก” และ “ความใหม่” ของการศึกษาสยาม/ไทย ทั้งนี้หากจะพูดให้ตรงแล้ว มธก. ถือได้ว่าเป็นผลพวงหรือ “คู่แฝด” ของการปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน 2475 อย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่มี 24 มิถุนายน 2475 ก็อาจจะไม่มี (วันสถาปนา มธก.) 27 มิถุนายน 2477 ถ้าหากเราจะดูจาก “คำประกาศของคณะราษฎร” ในวันยึดอำนาจได้กล่าวว่าการที่ “ราษฎร” ยังถูกดูหมิ่นว่ายังโง่อยู่ (ไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตย) นั้น “เป็นเพราะขาดการศึกษาที่เจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่” ดังนั้นในนโยบายหรือสิ่งที่เรียกว่า “หลัก 6 ประการ” ของคณะราษฎร ก็มีข้อหนึ่งที่ว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร” มีผลทำให้ต้องตั้ง มธก. ขึ้นมานั่นเอง

เมื่อมองในแง่นี้ การสถาปนา มธก. ในปี 2477 ก็มากับหลักประการที่ 6 ของคณะราษฎร กำเนิดมาควบคู่กับการปกครองในลักษณะใหม่ เมื่อประเทศมีรัฐธรรมนูญ มีประชาธิปไตย ก็ต้องมีสถาบันการศึกษาแบบใหม่ อันนี้จึงเป็นหลักปรัชญาพื้นฐานในการก่อตั้งเป็นหลักของการเปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทำให้เกิดกฎเกณฑ์ที่แน่นอน การเปิดและกฎเกณฑ์ที่แน่นอนนี้เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดลักษณะหนึ่งของสังคมประชาธิปไตย ในทางตรงกันข้าม การปิดเป็นความเลวร้ายของอำนาจนิยมและเผด็จการ

ในแง่ของการเปิดและการมีเสรีภาพนั้น อยากนำความรู้สึกของ “ธรรมศาสตร์บัณฑิตหญิงคนแรก” ที่ให้สัมภาษณ์ไว้ (2526) คือคุณหญิงบรรเลง ชัยนาม เมื่อถามท่านว่าประทับใจ อย่างไรบ้างเมื่อเข้ามาเรียนธรรมศาสตร์ตอนนั้น และจบเป็น ธ.บ. หญิงคนแรก เมื่อ 2478 ท่านตอบว่า

เอ ตอบยาก อาจจะประทับใจความมีเสรีภาพในการเล่าเรียน เป็นตลาดวิชาแล้วก็ให้เสรีภาพเสมอภาคกัน ให้เรียนวิชาต่างๆ ที่อยากรู้ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะอะไรอย่างนี้ เข้าไปแล้วรู้สึกสบายใจ อย่างบางโรงเรียนก็อาจมีเข้าไปแล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่ธรรมศาสตร์ให้ความเสมอภาคกันหมด สบายใจ วิชาที่เรียนเป็นวิชาที่รักและสนใจ

ถ้าเราจะดูจากคำกล่าวของท่านผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ ที่กล่าวในวันที่ 27 มิถุนายน 2477 อันเป็นวันสถาปนา มธก. ณ ที่ตั้งเก่าของโรงเรียนกฎหมาย (ถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ซึ่ง มธก. ตั้งอยู่ ณ ที่นั่นสองปี คือ ปี 2477-2479 ก่อนจะย้ายมาซื้อที่ดินได้ที่วังหน้า ท่าพระจันทร์ ตึกเก่าจึงกลายเป็นกรมโฆษณาการและกรมประชาสัมพันธ์ไปในที่สุด และถูกประชาชนเผาเสียราบเมื่อเหตุการณ์พฤษภามหาโหด 2535) นั้น ท่านได้กล่าวไว้ว่า

การตั้งสถานศึกษาตามลักษณะของมหาวิทยาลัยย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ และเป็นปัจจัยในการแสดงความก้าวหน้าของประเทศ ประชาชนชาวสยามจะเจริญในอารยธรรมได้ก็โดยอาศัยการศึกษาอันดีตั้งแต่ชั้นต่ำตลอดจนการศึกษาชั้นสูง เพราะฉะนั้นการที่จะอำนวยความประสงค์และประโยชน์ของราษฎรในสมัยนี้ จึงจำต้องมีสถานการศึกษาให้ครบบริบูรณ์ทุกชั้น

ท่านพูดต่อไปอีกว่า

มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้อันเป็นสิทธิและโอกาสที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเห็นความจำเป็นในข้อนี้ จึงได้ตราพระราชบัญญัติ จัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น

นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่ากำเนิดของ มธก. มีผลมาจากแรงผลักดันของอดีตนักเรียน โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม กล่าวคือในปี 2476 สมัยรัฐบาลอนุรักษนิยมช่วงเปลี่ยน ผ่านของนายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมได้ถูกโอนไปขึ้นกับคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่หนึ่งปี ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นักเรียนโรงเรียนกฎหมาย ที่โรงเรียนอันเก่าแก่ และมีชื่อเสียงของตนเสมือนถูกยุบให้ละลายหายไป แทนที่จะได้เลื่อนสถานะเป็นมหาวิทยาลัย จึงมีผลผลักดันให้นักเรียนกฎหมายดังกล่าวเคลื่อนไหวให้มีการก่อตั้ง มธก. ขึ้น

ในเรื่องนี้มีบันทึกชิ้นหนึ่งที่สะท้อนกระแสและพลังของนักเรียนกฎหมายในตอนนั้นเป็นอย่างดี คือ บันทึกของคุณสงัด ศรีวณิก (ธรรมศาสตร์บัณฑิต ปี 2481) คุณสงัด ศรีวณิก บันทึกไว้ในหัวข้อ “โดมรำลึก” ว่า

ครั้นภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อมิถุนายน 2475 แล้ว พวกเราประมาณ 4-5 คน ซึ่งเป็นนักเรียนกฎหมายอยู่ในเวลานั้น ได้ไปเยี่ยมท่านอาจารย์หลวงประดิษฐ์ฯ เพิ่งหายจากการป่วยไข้หวัด เราได้สนทนาและปรารภกันถึงฐานะของโรงเรียนกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาชั้นสูง ควรจะได้รับการสถาปนาให้เป็นมหาวิทยาลัยบ้างหรือไม่ เพราะในขณะนั้นก็มีสถาบันชั้นอุดมศึกษาเป็นมหาวิทยาลัยก็มีเพียงแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่เพียงแห่งเดียว

กล่าวโดยย่อ มธก. ก็เป็นผลพวงของการปฏิวัติ 2475 ที่บรรจบพอดีกับกระแสของ นักเรียนโรงเรียนกฎหมายที่ต้องการผลักดันยกฐานะของโรงเรียนของตนให้เป็นมหาวิทยาลัยที่มี ลักษณะเปิดกว้าง เป็น “ตลาดวิชา” ที่น่าสนใจก็คือ ทันทีที่เปิดมหาวิทยาลัยในปี 2477 นั้น มีคนสมัครเข้าเรียนเป็นจำนวนมากมายมหาศาลและล้นหลามถึง 7,094 คน (แน่นอน ส่วนหนึ่งคือผู้ที่โอนมาจากคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ จุฬาฯ หรือนักเรียนโรงเรียนกฏหมายเก่านั่นเอง) แต่ส่วนใหญ่ก็คือผู้ที่จบมัธยมบริบูรณ์ (มัธยม 8 ในสมัยนั้น) ซึ่งสามารถสมัครเข้าได้ทันที อันนี้ไม่ประหลาดอะไรเพราะ มธก. เป็นตลาดวิชา แต่ถ้าเราดูไปแล้ว คนที่สามารถสมัครเข้าได้นั้น จะรวมถึงข้าราชการตั้งแต่เสมียนขึ้นไป (ถ้าผู้บังคับบัญชารับรอง) ซึ่งก็เกิดการกระจายของการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอย่างไม่เคยมีมาก่อนเปิดกว้างมาก นอกจากนี้ผู้ที่สมัครเข้าได้ทันทีอีกพวกหนึ่ง ก็คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (รุ่นแรกจากการเลือกตั้ง 2476) ผู้แทนตำบล เป็นต้น

จำนวนผู้สมัคร 7,094 นั้น ชี้ให้เราเห็นถึงความต้องการการศึกษาในระดับสูงมาก กล่าวได้ว่าในทศวรรษ 2470 นั้นมีคนจำนวนหนึ่งรอจะเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาค่อนข้างหนาแน่น แต่หลังจากนั้นจนถึงประมาณปี 2490 นักศึกษาที่สมัครเข้า มธก. จะมีจำนวนคงที่และปานกลาง คือ เพียงประมาณ 500 คนต่อปี อนึ่งถ้าเราดูจากคนที่สมัครเข้ามาใน มธก. เราอาจพูดได้ว่าส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง หรือกระฎุมพีในเมือง หรือใช้ศัพท์ของท่านปรีดี พนมยงค์ ก็บอกได้ว่าเป็น “ชาวบุรี” สะท้อนให้เห็นคลื่นหรือแรงผลักดันในการที่มีความต้องการการศึกษาของคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชะงักงันหรือรอมาเป็นเวลานาน แล้วก็สบโอกาสในการเลื่อนสถานภาพของตนที่มาพร้อมกับหลักประการที่ 6 ของคณะราษฎร

ขอแทรกตรงนี้หน่อยว่า ช่วงปี 2475-2477 นั้น ประเทศสยาม (ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อทางการเป็นประเทศไทยจนกระทั่ง 2482) มีประชากร 12 ล้านคน มีนักเรียนระดับประถมและมัธยม 794,602 คน (ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้มีนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา (มัธยมปลาย ม. 7-8 เดิม) เพียง 2,206 คน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก สมัยนั้นกรุงเทพมหานครมีประชากรเพียง 5 แสนคน ในปี 2475 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพียงแห่ง เดียวมีผู้จบการศึกษาเพียง 68 คน ฉะนั้นทันทีที่เปิด มธก. จึงมีนักศึกษาถึง 7,094 คน เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญมากของการศึกษาไทย

นอกเหนือจากปรัชญาในการก่อตั้งในแง่ของประชาธิปไตยแล้ว ยังเห็นว่ามีปรัชญาที่เน้น ในเรื่องของกฎหมายหรือ “หลักนิติธรรม” rule of law อีกด้วย ทั้งนี้เพราะการปฏิวัติ 2475 ต้องการสถาปนากฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเป็นหลักอยู่เหนือบุคคล แน่นอน มธก. มาจากโรงเรียนกฎหมาย การศึกษาเน้นหนักด้านกฎหมายจึงไม่ประหลาดอะไรนัก แต่เดิมมีหลักสูตรสองปีระดับประกาศนียบัตร เมื่อเกิด มธก. เปลี่ยนเป็นระดับปริญญา มีหลักสูตรสามปี มีหกภาคการศึกษา ลักษณะของธรรมศาสตร์ในตอนนี้ยังเน้นด้านกฎหมายอย่างมาก เพราะเป็นมรดกตกทอดมาจากโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม

การตั้งสถาบันการศึกษาของไทยในระยะเริ่มแรก เป็นเรื่องของหน่วยราชการที่จะสร้างคนของตนขึ้นมาใหม่เพื่อป้อนหน่วยงานของตนเอง มีลักษณะเป็นสายวิชาชีพนั้น ๆ โดยเฉพาะ อย่างด้านการปกครองก็เป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ด้านการเกษตรก็เป็นโรงเรียนด้านการเกษตร (ที่จะกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ด้านศิลปะก็เป็นโรงเรียนประเภทช่างศิลป์ (ที่กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร) ด้านแพทย์ก็เป็นโรงเรียนแพทย์ (ที่กลายเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล) ฯลฯ รวมไปถึงบรรดาโรงเรียนทหารบก-เรือ-อากาศ-ตำรวจทั้งหลาย มธก. ก็มีลักษณะกลายพันธุ์มาดังนี้ แต่ก็จะมีลักษณะกลายพันธุ์ที่แปลกและใหม่เช่นกัน

เมื่อดูจากวิชาที่เรียนกันใน มธก. มีการเรียนวิชาธรรมศาสตร์ในความหมายของกฎหมายทั่วไป เน้นในการเรียนกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่และสำคัญในเมืองไทยยุคของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเก่าก่อนสมัยใหม่ (pre-modern) สู่สมัยใหม่ เข้าใจว่าท่านที่ศึกษาและคุ้นเคยกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือในสมัยรัชกาลที่ 4, 5, 6 คงจะเห็นได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาอย่างมากของสังคมไทยในการปรับตัวเข้าสู่ความเป็นสังคมสมัยใหม่ คือกฎหมายที่วิธีพิจารณาความยังเป็นแบบสังคมศักดินาอยู่ คือ พิสูจน์ด้วยการดำน้ำ ลุยไฟ ตลอดจนวิธีการจองจำ หรือการไต่สวนอย่างทรมานทรกรรม ดังนั้นหากจะได้รับการยอมรับว่าเป็น “อารยะ” เท่าเทียมกับนานาประเทศจะต้องมีการร่างพระราชบัญญัติหรือกฎหมายต่างๆขึ้นมาใหม่ ใช้แทนกฎหมายเก่าที่เรามีอยู่ทั้งหมด

ดังนั้น ลักษณะของการเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็เน้นเรื่องกฎหมายอย่างที่กล่าวมาแล้ว มีการเรียนกฎหมายทั่วไป กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา แต่ที่ใหม่เข้ามาตอนนั้นก็คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ แน่นอนเมื่อธรรมศาสตร์เกิดมาหลัง 2475 กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งแต่เดิมต้องแอบแฝงอยู่ในกฎหมายปกครองในสมัยราชาธิปไตย ก็สามารถปราฏตัวออกเป็นวิชาอิสระของตัวเองได้ ไม่ต้องแอบอิงอยู่กับกฎหมายปกครองอีกต่อไป นอกจากนี้ก็ยังมีการศึกษาวิชาต่างๆนอกเหนือจากกฎหมายอีก วิชาเหล่านี้เป็นวิชาต้องห้ามไม่มีการสอนในสมัยราชาธิปไตย เช่น วิชาลัทธิเศรษฐกิจ วิชาเศรษฐศาสตร์ สรุปแล้วการศึกษาเน้นที่กฎหมายก็จริง แต่การศึกษาจะกว้างขวางกว่าเดิมมีวิชาอื่นๆที่ต้องห้ามประกอบด้วย

หลักสูตรปริญญาตรีของธรรมศาสตร์นั้นมีปริญญาเดียว คือ ธรรมศาสตร์บัณฑิต เมื่อวันเปิดมหาวิทยาลัย คือ วันที่ 27 มิถุนายน 2477 นั้น มีสูจิบัตรแจก เป็นสูจิบัตรพิมพ์ที่โรงพิมพ์ศรีกรุงชื่อว่า “แนวการศึกษาชั้นปริญญาตรี โท และเอก แห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” (ดูเอกสารดังกล่าวที่ตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง และนำมาพิมพ์ซ้ำในธรรมศาสตร์ 50 ปี)

หมายความว่าเมื่อเปิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นมีโครงการถึงปริญญาเอก แล้วก็ ดำเนินการไปเลย ในปริญญาตรีอย่างที่เราทราบกันมีปริญญาเดียว คือธรรมศาสตร์บัณฑิต (ธ.บ.) ปริญญาโทแตกออกไปเป็น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ (ส่วนทางด้านการบัญชีนั้นต่อมาจะมีประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชี เทียบเท่าปริญญาโท) ในระดับปริญญาเอกก็มีสี่แขนงเช่นเดียวกัน คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต ในระดับปริญญาตรีและโทนั้นมีการเรียนการสอน ส่วนในระดับปริญญาเอกไม่มีการเรียนการสอน (แบบยุโรป) ถ้าจะลองดูจากหลักสูตรปริญญาเอก จะมีดังนี้

ให้ทำการค้นคว้าจากภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ค้นคว้าจนเป็นที่น่าพอใจ
ให้แต่งตำราเป็นภาษาไทย ถ้าจะแปลความในสมัยปัจจุบันก็คือเขียนวิทยานิพนธ์ แล้วก็สอบปากเปล่า เมื่อกรรมการพอใจ ก็ได้รับปริญญาเอกไป
อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่ามหัศจรรย์มาก ธรรมศาสตร์เกิดขึ้นมา พ.ศ. 2477 มีถึงปริญญาเอกทันที น่าเสียดายที่ต่อมาปริญญาเอกหายไป ได้สัมภาษณ์บุคคลบางคนที่ได้ปริญญาเอก เช่น ดร. บรรจบ อิศดุลย์ ซึ่งเคยสอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ ถามท่านว่ามันหายไปไหน ท่านก็บอกไม่ทราบเหมือนกันอยู่ดี ๆ มันก็หายไปดื้อ ๆ เหลือแต่ปริญญาโท ถ้าจะมีปริญญาเอกคงต้องมาตั้งต้นกันใหม่ (ดังที่กำลังดำเนินการกันอยู่ในขณะนี้)

ทีนี้ กลับไปในเรื่องที่เกี่ยวกับการที่ธรรมศาสตร์เน้นเรื่องกฎหมาย ทำไมธรรมศาสตร์เน้นเรื่องกฎหมาย เข้าใจว่าท่านผู้ประศาสน์การคงมีปรัชญาในการก่อตั้ง เพื่อที่จะวางรากฐานลัทธิรัฐธรรมนูญ แปลความว่าเพื่อขจัดสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นอัตตาธิปไตยหรือคณาธิปไตย โดยให้มีกฎเกณฑ์เป็นหลัก หรือจะใช้คำเก่า จะใช้คำอะไร คงบอกว่าให้มี “ธรรมะ” ที่เป็นกฎเกณฑ์ในการปกครองสังคม ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ดังนั้นจุดเริ่มต้นของธรรมศาสตร์จึงมาจากเรื่องกฎหมาย ลองสังเกตดูและเห็นว่า คำว่า “ธรรมะ” นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของชื่อมหาวิทยาลัยแล้ว ยังจะมีควบคู่ไปกับธรรมศาสตร์อยู่ตลอดเวลา ทั้งในเรื่องปรัชญาพื้นฐานและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในเรื่องของเพลงมหาวิทยาลัย และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับธรรมศาสตร์ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อนข้างเป็นนามธรรมที่จะสร้างกฎเกณฑ์ให้แก่สังคมไทยสมัยใหม่

ในหัวข้อของปรัชญานี้ เมื่อดูจากการเลือกใช้ชื่อ ธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นชื่อมหาวิทยาลัย เข้าใจว่านี่เป็นสิ่งหนึ่งที่จะบอกถึงปรัชญาของการก่อตั้ง ดังที่กล่าวแล้วแต่ตอนต้น ผมพยายามที่จะไปสัมภาษณ์ท่านผู้ประศาสน์การ ทำไมท่านให้ชื่อมหาวิทยาลัยอย่างนี้ ทำไมเลือกสีเหลืองและแดง ฯลฯ แต่ผมก็บุญน้อยมิได้สัมภาษณ์อย่างที่กล่าวแล้ว ดังนั้นผมจึงต้องลองดูจากเอกสารรอบตัว ในแง่นี้ ความคิดการก่อตั้ง การใช้ชื่อนี้มีภูมิหลังอย่างไร คำว่า ธรรมศาสตร์ หมายถึง กฎหมายที่เป็นแม่บทวางระเบียบสังคมสมัยเก่า ท่านปรีดีคงดึงเอามาใช้ในสมัยใหม่ เราเห็นได้ชัดเลย มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นสถาบันแรกที่นำกฎหมายตราสาม-ดวงที่รวบรวมขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 นำมารวมพิมพ์เป็นเล่มอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก พร้อมทั้งมีคำนำในการจัดพิมพ์ครั้งนั้นโดยท่านผู้ประศาสน์การ กฎหมายตราสามดวงนี้เราก็ทราบดีว่ามีพระธรรมศาสตร์เป็นหัวใจของกระบวนกฎหมายทั้งหมด นี่เป็นการดึงเอาสัญลักษณ์ของกฎเกณฑ์ของสังคมเก่ามาใช้ (คำว่าธรรมศาสตร์นี้ในสมัยใหม่เริ่มเปลี่ยนความหมายไปบ้าง กลายเป็นแปลว่า กฎหมายทั่ว ๆ ไปก็ได้)

ทีนี้เราลองดูอีก ใน “พระราชบัญญัติราชบัณฑิตสถาน” พ.ศ. 2476 มีการแบ่งงานของราชบัณฑิตสถานเอาไว้เป็นสามสำนัก

สำนักที่ 1 ธรรมศาสตร์และการเมือง
สำนักที่ 2 วิทยาศาสตร์
สำนักที่ 3 ศิลปกรรม
เห็นได้ชัดว่าคำว่าธรรมศาสตร์และการเมืองนี้ได้ใช้มาก่อนหน้าการตั้งมหาวิทยาลัย อยากจะโยงกลับไปว่า วิชาธรรมศาสตร์และการเมืองในความหมายของโลกสมัยใหม่ อาจจะมีส่วนหนึ่งซึ่งเป็นอิทธิพลของฝรั่งเศส เข้าใจว่าท่านปรีดีอาจจะใช้ความคิดเดิมเรื่องพระธรรมศาสตร์กับความคิดใหม่ ทั้งนี้เพราะมีสถาบันหนึ่งในฝรั่งเศส ที่เรียกว่า Institut de France ซึ่งอาจแปลเป็นไทยได้ว่า “สถาบันฝรั่งเศส” สถาบันนี้คงจะใกล้เคียงกับสิ่งที่เราเพิ่งตั้งขึ้นมา คือ ราชบัณฑิตสถาน สถาบันฝรั่งเศสแบ่งสำนักของเขาออกเป็น academie มีทั้งหมด 5 (ของเราแบ่งเป็น 3) ดังนี้

Academie Francaise
Academie des Sciences หรือ สถาบันวิทยาศาสตร์
Academie des Sciences Morales et Politiques ถ้าจะแปลก็คือ สถาบันวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
Academie des Beaux-Arts หรือสถาบันวิจิตรศิลป์
Academie des Inscriptions et Belles-Lettres หรือสถาบันจารึกและอักษรศาสตร์
สำหรับสถาบันที่ 3 น่าสนใจ สามารถโยงมาเรื่องธรรมศาสตร์ของเราได้ เพราะชื่อภาษา อังกฤษของธรรมศาสตร์ในตอนแรกมิใช่ Thammasat University แต่เป็น University of Moral and Political Sciences (UMPS) ซึ่งก็คือ Sciences Morales et Politiques นั่นเอง สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลทางความคิดสมัยใหม่ทางด้านวิชาการจากฝรั่งเศสใน มธก. และในราชบัณฑิตสถานไม่น้อย

การบริหาร การเรียน และการสอน (ธ.บ. และ ตมธก.)
ในด้านการบริหารและจัดการนั้น เข้าใจว่า มธก. อาจจะเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่กำเนิดเป็นอิสระแต่ต้น (แต่จะถูกทำให้กลายเป็นระบบราชการในภายหลัง) ไม่ขึ้นเป็นองค์กร ส่วนของราชการตามปรกติ มหาวิทยาลัยเลี้ยงตัวเองมาแต่เริ่มแรก ขอให้เรามาดูจากรายรับ รายจ่ายของมหาวิทยาลัย

2477
รายรับ 6 แสนบาท
รายจ่าย 1 แสนบาท (เพราะมีนักศึกษาสมัครเข้ามามาก ดังกล่าวข้างต้น)
2485
รายรับ 4 แสนบาท (น้อยลงไปเพราะตอนนี้นักศึกษาคงตัวแล้ว)
รายจ่าย 2 แสนบาท
2489 (ก่อนสิ้นสุดสมัยท่านผู้ประศาสน์การ)
รายรับ 1 ล้าน 3 แสนบาท
รายจ่าย 7 แสนบาท
กล่าวโดยย่อ มหาวิทยาลัยมีรายรับมากกว่ารายจ่ายทุกปี ในสมัยท่านผู้ประศาสน์การ มหาวิทยาลัยเลี้ยงตัวเองมาตลอด ส่วนหนึ่งมาจากค่าบำรุงของนักศึกษา ค่าเล่าเรียนในสมัยนั้นปีละ 20 บาท ถูกกว่าค่าเล่าเรียนมัธยมปลายครึ่งต่อครึ่ง ค่าเล่าเรียนมัธยมปลายสมัยนั้น 40 บาท (และถูกกว่าทางจุฬาฯ ซึ่งต้องสอบเข้าอีกต่างหาก) ธรรมศาสตร์เก็บ 20 บาทก็ยังมีกำไร เลี้ยงตัวเองได้ เพราะฉะนั้นท่านผู้ประศาสน์การพูดเอาไว้ในสมัยที่ท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดีว่า ส่วนหนึ่งมหาวิทยาลัยนี้มีทรัพย์สิน ที่ดิน มีตึกของตัวเองนั้น ก็ได้ด้วยเงินที่เก็บมาจากนักศึกษาทั้งสิ้น นักศึกษารุ่นแรก 7,094 คน ที่มาเสียค่าบำรุงในปีแรกนั้นนั่นแหละ ที่เงินของเขาและเธอซื้อที่ดินและสร้างตึกโดม ทำให้ มธก. มีความเป็นอิสระจากระบบราชการ ธรรมศาสตร์จะ “ถูกบิดเบี้ยว” และยึด ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชการ และเป็นมหาวิทยาลัย “ปิด” อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันก็เมื่อหลัง พ.ศ. 2500 ในยุคที่บ้านเมืองเข้าสู่สมัยของการพัฒนาและลัทธิการทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่นเอง แต่ระหว่าง 2477-2500ธรรมศาสตร์เป็นอิสระและล้ำหน้าเกินยุคสมัยในเรื่องของการจัดการและการบริหาร

ทีนี้ ในแง่ของอาจารย์ผู้บรรยายเล่าเอามาจากไหน อาจารย์ประจำนั้นมีน้อยมาก อาจารย์ที่ได้รับสมัครเข้ามาช่วงแรกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เราได้ยินชื่อสี่ท่านแรก คือ เสริม วินิจฉัยกุล, ทวี ตะเวทิกุล, วิจิตร ลุลิตานนท์ และขุนประเสริฐศุภมาตรา ที่รับอาจารย์สี่ท่านแรกเข้ามานี้เพื่อที่จะช่วยทำตำราคำสอนของมหาวิทยาลัย สองท่านแรก คือ เสริม วินิจฉัยกุล และ ทวี ตะเวทิกุล นั้น ในที่สุดได้ทุนไปเรียนต่อฝรั่งเศส เมื่อมีอาจารย์ประจำน้อย ส่วนใหญ่จึงเป็นอาจารย์พิเศษ เช่น ดิเรก ชัยนาม, ไพโรจน์ ชัยนาม, ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ส่วนใหญ่จะได้คนมีความรู้สูง มีใจรักที่มาสอน ได้คนที่อุทิศตัวเองให้แก่การศึกษา หรือไม่ก็ได้อาจารย์ฝรั่งเด่น ๆ มาก หลายคนคงเคยได้ยินชื่ออย่าง ร. แลงกาต์ ซึ่งก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนระดับปริญญาโท และเป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

มหาวิทยาลัยยังมีวารสารทางวิชาการของตนเองที่มีชื่อว่า นิติสาส์น มีอาจารย์ไพโรจน์ ชัยนาม เป็นบรรณาธิการ มหาวิทยาลัยมีแผนกคำสอนของตัวเอง แผนกนี้ขายคำสอน (ตำรา) ให้นักศึกษา ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาเรียน จุดกำเนิดของโรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นมาจากตอนนี้ ท่านปรีดี พนมยงค์ ได้ยกสำนักพิมพ์นิติสาส์นของท่านให้มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2483 (และแท่นพิมพ์โบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าพิมพ์ “คำประกาศคณะราษฎร” ก็ตกเป็นสมบัติของ มธก. และสมควรอย่างยิ่งที่จะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์)

นี่เป็นภาพทั่ว ๆ ไปของมหาวิทยาลัย ที่ลักษณะขององค์กรต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างนี้ ถ้าจะถามว่าบรรยากาศของมหาวิทยาลัยสมัยนั้น ช่วงประมาณ 2477, 2478, 2479 เป็นอย่างไร คำตอบก็คือว่า คงไม่ใช่ภาพอย่างเราเห็นในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยกิจกรรม มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา มหาวิทยาลัยช่วงแรกค่อนข้างเงียบ มีคนมาเรียนประมาณวันละ 100 คน ตกบ่ายเงียบหมด จากคำสัมภาษณ์ความรู้สึกของคนรุ่นนั้น ตอนบ่าย ๆ คนหายไป กลับบ้านไป นักศึกษาถึงจะมีจำนวนเป็นพัน ๆ ส่วนใหญ่ก็อ่านคำสอนอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ในต่างจังหวัด เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจอะไรเลย ถ้าเราจะดูอย่างคุณสมคิด ศรีสังคม ธรรมศาสตร์บัณฑิตคนหนึ่ง ซึ่งบอกว่าไม่เคยมาเรียนที่ธรรมศาสตร์ วันหนึ่งไปฟังเขาหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประทับใจมากที่เห็นผู้สมัครใส่เสื้อครุยมาหาเสียง เลยสมัครเรียนธรรมศาสตร์ แล้วก็รับคำสอนที่ส่งไปอีสาน ท่านอ่านแล้วก็สอบ อยู่บ้านนอก ไกลมากต้องขี่ม้าเข้ามาในเมือง ในที่สุดก็จบ ธ.บ. เข้าทำงานกรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม แล้วสอบชิงทุนไปเรียนถึงประเทศอังกฤษ นี่เป็นเส้นทางเดินของท่านและของอีกหลายคนที่มากับธรรมศาสตร์

บรรยากาศทั่วไปสงบ ต้นโพธิ์คงไม่ค่อยโตนัก ดูรูปในระยะนั้นต้นไม่โตแต่ใบหนา มีต้นจำปีอยู่ริมน้ำ มีต้นสนเรียงราย ริมแม่น้ำเปิดโล่ง แลเห็นตึกโดมโดดเด่นเป็นสง่า ตึกโดมเปิดใช้เป็นทางการเมื่อ 9 กรกฎาคม 2479 หลายคนคงทราบดีว่าผู้ออกแบบตึกโดม คือ คุณหมิว อภัยวงศ์ ท่านผู้นี้ไปเรียนหนังสือมาจากปารีส มีความคิดเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ท่านอาจารย์ปรีดีเชิญมาช่วยออกแบบ ว่าจะทำอย่างไรดีกับตึกเก่า ๆ ให้เป็นตึกใหม่ของธรรมศาสตร์ ท่านปรีดีได้ที่ตั้งของมหาวิทยาลัยใหม่ที่บริเวณท่าพระจันทร์ เป็นที่ของทหารที่จะย้ายออกไปอยู่แล้ว ท่านก็เลยเจรจาขอซื้อ ท่านก็เอาเงินค่าเล่าเรียนของนักศึกษานั่นแหละซื้อ ในปัจจุบันทั้งหมดมี 25 ไร่ 3 งาน (แล้วท่านก็เป็นผู้บริหารการศึกษาที่เฉลียวฉลาด คือบอกว่าค่อย ๆ ผ่อนใช้ เวลาผ่อนท่าน ก็ไปขอยืมเงินกระทรวงการคลังมาผ่อนใช้ ทำให้เงินที่ มธก. มีไม่หมดไปทันที) เมื่อซื้อที่ดินตรงนี้ได้ก็เชิญนายหมิว อภัยวงศ์ มาดูตึกเก่าของทหารซึ่งเป็นตึกแบบฝรั่งเหมือนกันสี่ตึก เรียงกันอยู่เป็นแถว ให้ออกแบบปรับปรุงใหม่เป็นตึกมหาวิทยาลัย ไม่ต้องทุบทิ้ง (แล้วตั้งงบประมาณมาสร้างกันใหม่อย่างที่ชอบทำกันเป็นประจำในปัจจุบัน) ท่านให้แนวทางและหลักเกณฑ์ว่า ให้ใช้การได้ทันสมัย สวยงาม คุณหมิว อภัยวงศ์ ไปยืนที่ริมน้ำเจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ ดูไปดูมาแล้วท่านก็เชื่อมตึกสี่ตึกให้ต่อกันตลอดแล้วใช้หลังคาวิ่งยาว แล้วก็เอาโดมใส่ขึ้นไปตรงกลาง กลายเป็นตึกโดมธรรมศาสตร์ เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แปลก เด่น และงามสง่า ซึ่งจะค่อย ๆ มีชีวิตและวิญญาณขึ้นมา จนมีการตีความว่าโดมหมายถึงดินสอ หมายถึงปัญญาและความเฉียบแหลม และที่สำคัญคือเป็น “แม่” (!?)

ตรงนี้ขอแทรกในเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดินของ มธก. ที่ท่าพระจันทร์ (จากบทความของปรีชา สุวรรณทัต ใน ธรรมศาสตร์ 50 ปี) โดยเกิดปัญหาว่าเมื่อ มธก. ชื้อที่ดินบริเวณโรงทหารกอง พันทหารราบที่ 4 ตำบลท่าพระจันทร์จากกระทรวงกลาโหมด้วยเงิน 3 แสนบาทนั้น ได้มีการนำ เรื่องเข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อออก พ.ร.บ. โอนกรรมสิทธิ์ ก็มีปัญหาตามกระทู้ของ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ สส. อุบลราชธานี ว่า “สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจะโอนแก่กันได้หรือไม่นั้น ข้าพเจ้าสงสัย เพราะว่าในทางปฏิบัติที่ข้าพเจ้าเคยทราบนั้น อย่างเราไปโอนที่ดินกรมทหารให้แก่ กระทรวงธรรมการ อย่างนี้ก็หาได้ทำเป็นพระราชบัญญัติไม่”Ž

พระยามานวราชเสวี รมต. คลัง ตอบว่า “จริงอยู่ที่รายนี้เป็นของรัฐบาล แต่ว่า มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้นเป็นนิติบุคคลตั้งขึ้นต่างหากนอกจากวงการของ รัฐบาล รัฐบาลที่บำรุงหรืออะไรนั้นเป็นการช่วยเหลือเป็นซับไซดีเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นล่ำเป็นสันเป็น งานของรัฐบาลโดยตรง เห็นว่ามหาวิทยาลัยนี้ทำงานเลี้ยงตัวเองได้ ก็ส่งเสริมตามกำลังและความ สามารถ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าในการที่ออกพระราชบัญญัติโดยมีหลักการเช่นนั้นเป็นการชอบแล้ว เพราะเหตุว่าที่จะเอาของหลวงซึ่งใช้ในราชการนั้น จะไปให้แก่บุคคลซึ่งนับว่าเป็นเอกชน คนหนึ่งเหมือนกัน หากแต่ว่าเป็นนิติบุคคลเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นในการที่ออกพระราชบัญญัตินี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่ง เพื่อจะได้แสดงให้เห็นความเจตนาดีของรัฐบาล ที่จะบำรุงการศึกษาในวิชานี้ด้วย”

สรุปแล้ว มธก. ก็ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินนี้มาออกเป็น พ.ร.บ. เมื่อ 9 เมษายน 2478 และก็ยิ่งชี้ ให้เห็นชัดเจนว่า มธก. มีสถานะเป็น “นิติบุคคลตั้งขึ้นต่างหากแยกจากวงการของรัฐบาล” ดังที่กล่าวมาแล้วในประเด็นของกำเนิดอิสระ

นั่นคือเรื่องการบริหาร เรื่องลักษณะอิสระของมหาวิทยาลัย การเรียนการสอนที่แต่เดิมมาเข้าชั้นเรียนกันน้อย แต่อย่ ๆ ไปก็จะมีคนมาเรียนมากขึ้น ๆ มีการผลิตบัณฑิตมากขึ้น ในปี 2477 พอเปิดปีแรกก็มีนักศึกษาเลยที่โอนมาและได้เป็นบัณฑิตธรรมศาสตร์ 19 คน ปีเดียวกันนั้น ทางจุฬาฯ มีบัณฑิต 82 คน ปีถัดไป 2478 ที่คุณหญิงบรรเลง ชัยนาม เป็นธรรมศาสตร์บัณฑิตหญิงคนแรกนั้น มีบัณฑิต 137 คน ส่วนจุฬาฯ มี 116 คน ในปี 2485 ธรรมศาสตร์มีบัณฑิต 250 คน จุฬาฯ มี 255 คน ที่เอาเรื่องการผลิตบัณฑิตมานี้ จะโยงกับเรื่องปรัชญาการศึกษาด้วย คือในแง่นี้ถ้าเราดูลักษณะของการผลิตคนที่มีความรู้ในระดับสูงในระบอบราชาธิปไตย ซึ่งเริ่มมีการเปิดขยายการศึกษา มีการตั้งโรงเรียนขึ้น ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของกระทรวงทบวงกรมที่ขยายตัวและมีความต้องการข้าราชการ ถ้าจะดูจากตัวเลขของคนที่จบการศึกษาระดับสูง คนจบจะมีจำนวนพอ ๆ กับความต้องการของหน่วยราชการ จะไม่ผลิตให้เกินความต้องการ แต่ในหลักการของธรรมศาสตร์หลัง 2475 เป็นเรื่องของเสรีภาพทางการศึกษา การให้การศึกษาแก่ราษฎรอย่างเต็มที่ จะไม่มองว่าถ้ากระทรวงนี้ต้องการ 12 คน ก็ผลิตให้ 12 คน แต่ว่าจะให้จบออกไปแล้วหางานทำเอง หรือแม้กระทั่งสร้างงานของตนเองขึ้นมา อันนี้เป็นความแตกต่างของธรรมศาสตร์ คือจุดหมายเพื่อให้คนมีการศึกษามากขึ้น ในสังคมประชาธิปไตยราษฎรควรมีความรู้ระดับสูงให้เหมาะสมกับการปกครองสมัยใหม่ เป็นหลักของท่านผู้ประศาสน์การที่ว่าให้ให้ตาม ความสามารถที่เขาจะเรียนกันได้

เราจะเห็นจากบทบาทของท่านอีกต่อไปว่า เมื่อมีการตั้งโรงเรียนเตรียม มธก. ซึ่งเป็นในสมัยที่กระทรวงศึกษาธิการยกเลิกการจัดการศึกษาระดับมัธยมปลายนั้น ธรรมศาสตร์ก็จะรับนักเรียนประเภทนี้จำนวนหนึ่ง ปรากฏว่ามีนักเรียนจำนวนไม่น้อยสอบเข้าไม่ได้ และไม่มีที่เรียน ท่านก็ให้มี “ภาคสมทบ” ขึ้นโดยบอกว่าให้เขาเรียนกันเถอะ ถึงแม้จะเรียนภายใต้หลังคาจากก็ให้เรียนกัน เรียนอยู่กับพื้นติดดินด้วยซ้ำไป นี่เป็นความคิดของท่าน ไม่อย่างนั้นแล้วจะเอาคนไปไหน ให้การศึกษาจะดีกว่า (ผมคิดว่าหลักอันนี้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทำต่อมาในสมัยที่คณะเศรษฐศาสตร์มีภาคค่ำ ในยุคทศวรรษ 2510และเราพยายามรื้อฟื้น ธ.บ. พิเศษขึ้นมาอีกในปี 2537-2538 แต่ไม่สำเร็จ )

ชีวิตและวิญญาณของธรรมศาสตร์ ผมอยากจะขอขนานนามยุคเริ่มแรกของ มธก. เมื่อ พ.ศ. 2477-2490/2492 ว่า “เมื่อจำปีแบ่งบาน (ใช้คำว่า ‘แบ่งบาน’) ต้นโพธิ์เติบใหญ่ ริมเจ้าพระยา ท่าพระจันทร์” มหาวิทยาลัยจะค่อย ๆ มีชีวิตขึ้น ถ้าเราลองสัมภาษณ์ธรรมศาสตร์บัณฑิตรุ่นแรก เราจะมองไม่ค่อยเห็นว่าเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับมหาวิทยาลัย แต่พอไปไม่กี่ปี สิ่งที่เรียกว่าชีวิตและวิญญาณจะเกิดขึ้นในธรรมศาสตร์ ปีแรก 2477 เริ่มมีฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ ขึ้นเป็นครั้งแรกที่สนามหลวง ปีแรกนั้นยังไม่มีเพลงประจำมหาวิทยาลัย ปีที่ 2 มีแข่ง ฟุตบอลอีกที่สนามโรงเรียนสวนกุหลาบฯ ตอนนี้มี “เพลงประจำมหาวิทยาลัย” แล้ว คือเอาทำนองเพลงไทยเดิมของมอญดูดาว นำมาให้ขุนวิจิตรมาตราใส่เนื้อและความหมายใหม่ หลายอย่างเกิดขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ ชีวิตของมหาวิทยาลัยเริ่มขึ้น ในการสร้างสัญลักษณ์เหล่านี้ เข้าใจว่าท่านผู้ประศาสน์การคงคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ในแง่ของสถาบันการศึกษาจะต้องมีอะไรบ้าง (ไม่ใช่ทำไปเรื่อย ๆ วันต่อวัน) เช่นเปิดเรียนนั้นเปิดวันที่เท่าไร ภาคแรกของธรรมศาสตร์เปิด 27 มิถุนายน มีความหมายมาก คือเป็นวันรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยาม ภาคสองเปิด 10 ธันวาคม ตรงกับวันรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ 2) เป็นต้น

ท่านปรีดี พนมยงค์ ดูจะเลือกคนระดับมีความสามารถสูงมาช่วยทำงาน ถ้าจะหาสถาปนิกก็ต้องเอาอย่างนายหมิว อภัยวงศ์ ซึ่งโด่งดังมากในสมัยนั้น ถ้าจะหาคนแต่งเนื้อเพลงก็ต้องเป็นขุนวิจิตรมาตรา นักเขียน นักประพันธ์ นักการภาพยนตร์ใหญ่ ท่านเป็นผู้แต่งเนื้อร้อง “เพลงประจำมหาวิทยาลัย” ที่มีทำนอง “มอญดูดาว” ดังกล่าวข้างต้น ลองอ่านทีละประโยคจะมีความหมายในลักษณะนามธรรม (เช่น สำนักไหนหมายชูประเทศชาติ สำนักนั้นธรรมศาสตร์และการเมือง) หลักการของธรรมศาสตร์กับสังคม (ธรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์การเมือง ไทยจะเฟื่อง ไทยจะรุ่งเรือง ก็เพราะการเมืองดี) สีเหลืองสีแดงหมายถึงอะไร (เหลืองของเรา คือธรรมประจำจิตต์ แดงของเรา คือโลหิตอุทิศให้) คิดว่าหลายอย่างมีความหมายอย่างน่าภาคภูมิใจ โดมกลายมาเป็นสัญลักษณ์ กลายเป็นแม่ (ซึ่งแปลกดี มธก. อาจเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่เอาตึกมาเป็นสัญลักษณ์ของแม่ เป็นเพศหญิงตามประเพณีเดิม เช่น แม่น้ำ แม่ทัพ ฯลฯ) ลองสังเกตดูชีวิตและวิญญาณที่เกิดขึ้นในธรรมศาสตร์ ถามดูว่าต้นไม้อะไรในบริเวณนั้นที่มีชีวิต และวิญญาณ คำตอบก็คือ ต้นโพธิ์ ต้นจำปี (ตอนหลังอาจมีต้นหางนกยูง)

ขอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า การสร้างสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยนี้ มีลักษณะที่เป็นทางการกับที่เป็นไปตามธรรมชาติ ทางการมีธรรมจักรเป็นตราประจำของมหาวิทยาลัย แต่โดยธรรมชาตินักศึกษากำหนดขึ้นมาเองว่าโดมคือสัญลักษณ์ โดยทางการมีต้นหางนกยูงเป็นไม้ประจำมหาวิทยาลัย (ที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นทางการในระยะหลัง) แต่โดยไม่เป็นทางการ เราก็มีต้นจำปี มีต้นโพธิ์ โดยทางการเรามีเพลงมหาวิทยาลัยคือพระราชนิพนธ์ “ยูงทอง” แต่โดยความรู้สึกทั่วไปเพลง “มอญดูดาว” หรือชื่อทางการว่า “เพลงประจำมหาวิทยาลัย” จะเป็นเพลงที่สำคัญและมีพลังที่สุด

จุดหนึ่งที่คิดว่าสำคัญมากในการสร้างความมีชีวิตและวิญญาณของธรรมศาสตร์ คือการตั้งมหาวิทยาลัยนิคม พูดง่าย ๆ ก็คือหอพักนั่นเอง ตอนแรกที่ตั้งขึ้นมามีนักศึกษาจำนวนน้อย ปีแรก 2478 มีคนเข้ามาพักอยู่เป็นประจำประมาณ 30 คน ตอนหลังอาจมีถึงร้อยคน มหาวิทยาลัยนิคมที่เป็นหอพักนี้อยู่ในธรรมศาสตร์ (ตรงตึกคณะรัฐศาสตร์) และจะมีอยู่ในช่วงประมาณ 2478-2481 ก็ยกเลิกไป แต่ว่ามีส่วนสร้างชีวิตของนักศึกษาขึ้นมาเป็นชีวิตนักศึกษา ที่อยู่กับมหาวิทยาลัย อยู่กับอาจารย์ผู้ดูแล

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้มหาวิทยาลัยมีชีวิตชีวาคึกคักเลย ก็คือการเปิดเตรียมธรรมศาสตร์ อันนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการศึกษาระดับชาตินั้นได้ยกเลิกการจัดการเรียนการสอนมัธยม 7 และ 8 ไปจากโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการดังที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นชั้นเตรียมก็กลายมาเป็นเตรียมจุฬาฯ และเตรียมธรรมศาสตร์ เตรียมของธรรมศาสตร์นั้นมีอยู่แปดรุ่น 2481-2490 (แล้วก็เลิกไปในขณะที่จุฬาฯ ยังมีอยู่ถึงปัจจุบัน) รับนักเรียนเข้าเรียน เริ่มคึกคักมีผู้คนมากมาย มีความสัมพันธ์กันเหนียวแน่น ลองสังเกตดูในบรรดาชมรมศิษย์เก่าทั้งหลาย จะเห็นได้ว่าพวก ตมธก. ยังเกาะกลุ่มกัน พวกนี้เป็นผู้ช่วยสร้างชีวิตให้แก่ธรรมศาสตร์ ปัจจุบันยังมีรุ่นนั้นรุ่นนี้แม้จะแก่ชราก็ยังพบปะกันอยู่เรื่อย ๆ ดังที่เราเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์

ลองดูหลักสูตรที่เขาเรียนกัน ในสมัย ตมธก. น่าอัศจรรย์ใจ เขาเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี ศีลธรรม โบราณคดี ดุริยางค์ศาสตร์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ชวเลข พิมพ์ดีด นี่เป็นการยกตัวอย่างบางวิชาเท่านั้น ยังมีรายการวิชาอื่น ๆ อีกยืดยาว น่าสนใจที่ว่าหลักสูตรนี้สร้างขึ้นมากว้างมาก และก็น่าจะใช้การได้ในสังคมสมัยใหม่ น่าสนใจที่ให้เรียนชวเลขและพิมพ์ดีด (คล้ายๆ กับที่จำเป็นจะต้องเรียนคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน) การที่มีนักเรียนเข้ามาเพิ่มกับนักศึกษา ทำให้ธรรมศาสตร์มีชีวิตและวิญญาณมากขึ้นกว่าเดิม

ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งคือการจบเป็นบัณฑิตสมัยนั้น มธก. ศาสตร์มีการอบรมบัณฑิตที่เรียกว่า “การอบรมนักศึกษาก่อนรับปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิต” มีมาตั้งแต่ประมาณ 2481 จนกระทั่งถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันนี้พอเรียนจบ ก็ไปถ่ายรูป เตรียมรับปริญญา วันรับปริญญาก็มาที่นี่ ได้รับพระราชทานโอวาท แล้วก็เป็นอันจบพิธี แต่ในสมัยนั้น คิดว่าสร้างชีวิตและวิญญาณของคนจบธรรมศาสตร์ขึ้นมาอย่างมาก คือมีการอบรม 15 วัน เข้ามากินมานอนอยู่ในนี้ ในระหว่างกินนอนอยู่ 15 วันนั้น ก็ต้องฝึกเกี่ยวกับมารยาท ศีลธรรม วินัย การสมาคม มีการพาไปดูสถานที่ต่าง ๆ ขอยกตัวอย่างจากหนังสือที่ใช้อบรม ปี 2484 ว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง

5:30 น. ตื่นนอน
6:00 น. พละศึกษา
8:00 น. อาหารเช้า
9:00 น. เข้าห้องอบรมหรือไปชมสถานที่
12:00 น. อาหารเที่ยง
14:00 น. เข้าห้องอบรมหรือไปชมสถานที่
16:30 น. พละศึกษา
19:00 น. อาหารค่ำ
22:00 น. เข้านอน

ดังนั้นก็หมายความว่า ตื่นตีห้าครึ่ง นอนสี่ทุ่ม เป็นเวลา 15 วัน อบรมศีลธรรม มารยาท วินัย และการเข้าสมาคม การอบรมนี้นับว่าน่าสนใจมาก ตัวอย่างเช่นการอบรมของปี 2484 วันที่ 9 มีนาคม ผู้ประศาสน์การเปิดการอบรม นายกกิตติมศักดิ์แห่งมหาวิทยาลัยให้โอวาท (นายกฯ นี่ก็เหมือนกันกับนายกสภามหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เพียงแต่เป็นตำแหน่งเกียรติยศเสียมากกว่า ไม่เข้ามาทำงานประจำทางบริหารวันต่อวัน) แต่ก่อนเรียกว่า “นายกคณะกรรมการมหาวิทยาลัย” และน่าสนใจมากคือ นายกคณะกรรมการฯ นี้ที่ธรรมศาสตร์ มีนายกรัฐมนตรีเป็นนายกฯ ทางจุฬาฯ มีรัฐมนตรีกระทรวงธรรมการเป็นนายกฯ

โปรดดูต่อไป คือวันที่ 10 ไปชมสภาผู้แทนราษฎร ในตอนบ่ายวันนั้น หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (หนึ่งในคณะราษฎรซึ่งต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรี) กล่าวอบรม วันที่ 11 ไปชมโรงกลั่นสุรา แล้วพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร (ต่อมาคือกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ อธิการบดีธรรมศาสตร์) กล่าวอบรม ตอนบ่ายไปชมการประปากรุงเทพฯ บ่ายไปอีก พระยามานวราชเสวีกล่าวอบรม วันต่อมาไปชมโรงงานกษาปณ์เสร็จแล้ว พระยานิติศาสตร์ไพศาลกล่าวอบรม วันต่อมาไปชมโรงฝิ่นรัฐบาลแล้ว ม.จ. สกลวรรณากร กล่าวอบรม วันต่อไปไปชมเรือนจำมหันตโทษ แล้วเจ้าพระยามหิธรกล่าวอบรม วันต่อมาไปนิคมสร้างตนเอง จังหวัดสระบุรี ชมโรงงานกระดาษ โรงไฟฟ้าสามเสน เสร็จแล้วเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศกล่าวอบรม วันต่อไปอีก ไปชมโรงพยาบาลโรคจิต แล้วพระสารสาส์นประพันธ์กล่าวอบรม วันต่อมาไปชมไปรษณีย์ โทรศัพท์ พระยาพลางกูรธรรมพิจัยกล่าวอบรม วันต่อมา ไปชมโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์กล่าวอบรม ฯลฯ คือรวมแล้วเป็นการดูงานชนิดหนึ่ง แล้วถูกอบรมแต่เช้าจนเย็น อันนี้เป็นสิ่งซึ่งทำให้เกิดชีวิตของคนที่เป็นธรรมศาสตร์บัณฑิต

ในแง่ของท่าน ผู้ประศาสน์การกับนักศึกษาธรรมศาสตร์เล่าเป็นอย่างไร ผมคิดว่า ด้านหนึ่งของท่านปรีดีกับธรรมศาสตร์ มีความสัมพันธ์ในฐานะที่ว่าท่านเป็นผู้ประศาสน์การ คำว่า “ประศาสน์” แปลว่า “ให้” ก็หมายความว่า ท่านเป็นผู้ให้การสถาปนา มธก. นี่เป็นความสัมพันธ์ในแง่ของการเป็นผู้ก่อตั้ง ความสัมพันธ์ของท่านกับธรรมศาสตร์จะเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ อย่าลืมว่าเมื่อ 2477 ที่ตั้งธรรมศาสตร์ขึ้นมา ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว ท่านเป็นมาตั้งแต่ปี 2476 ตลอดระยะเวลาที่เราพูดนั้น ท่านเป็นรัฐมนตรีอยู่เกือบตลอด จากมหาดไทยไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสร็จแล้วเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วก็เป็นนายกรัฐมนตรี บทบาทของท่านเกี่ยวข้องกับการเมืองการบริหารระดับสูงมาก ดังนั้นท่านผู้ประศาสน์การก็มิได้สอนหนังสือประจำอย่างท่านเคยสอนที่โรงเรียนกฎหมายมาก่อน

ดังนั้นความสัมพันธ์ของท่านกับนักศึกษานั้นเป็นความรู้สึกเชื่อและนับถือ ในแง่ที่ว่าท่านเป็นผู้ให้ ท่านไม่ได้มาสอน ไม่ได้มาพบนักศึกษาเป็นประจำอย่างอธิการบดี รองอธิการบดี หรือคณบดีในปัจจุบัน แต่ว่าท่านก็มีความสัมพันธ์กับธรรมศาสตร์และกับนักศึกษาไม่น้อย ท่านรู้จักกับนักศึกษาแม้ว่าจะไม่ได้สอน ถ้าเราอ่านจากบันทึกและการสัมภาษณ์ จะเห็นได้ว่ามีนักศึกษากลุ่มหนึ่งอาจเป็นพวกหัวกะทิที่สนใจมาก ๆ จะเข้าไปพบท่าน พูดคุยหรือปรึกษาหารือ นี่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับท่าน ดังนั้นว่าไปแล้วท่านก็ไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงอย่างที่เราเห็นจากคนที่มีเวลาเต็มในการทำงาน ตำแหน่งผู้ประศาสน์การดูจะไม่ใช่ตำแหน่งบริหารแบบประจำทุกวัน ในสมัยนั้นการบริหารโดยตรงจะอยู่กับเลขาธิการ คือ ดร. เดือน บุนนาค และต่อมาจะเป็นศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ ตำแหน่งนี้ไม่มีในปัจจุบัน กลายเป็นตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายต่าง ๆ ไป

ในเรื่องความสัมพันธ์ที่ว่ามีความนับถือกันนั้น ความนับถือคงมาจากความชื่นชมในตัวท่าน ท่านเป็นนักเรียนนอก จบปริญญาเอกตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม เป็นรัฐมนตรีเมื่ออายุเพียง 32 ปี ในปี 2476 เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยอายุ 33 ปี เพราะฉะนั้นก็เป็นความชื่นชมที่ได้พบเห็น แต่อีกด้านหนึ่ง ลึกลงไปกว่านั้น คือความนิยมนับถือในวิชาความรู้ คือไม่ได้ดูเฉพาะว่าท่านมีตำแหน่ง หรือดูจากสิ่งภายนอก แต่นับถือวิชาความรู้ของท่าน ภายในความสัมพันธ์นี้จึงมิใช่ความสัมพันธ์ส่วนตัว เอาเข้าจริงแล้วท่านจะพบนักศึกษาก็คือวันที่มาอบรมบัณฑิต ท่านมากล่าวเปิดและปิดการอบรมดังที่กล่าวมาแล้ว ความนิยมชมชื่นนี้จะเห็นได้จากรูปภาพและคำบอกเล่า เช่นว่าเมื่อท่านปรีดีเข้าประตูธรรมศาสตร์มา นักศึกษาจะเฮเข้าไปแล้วแบกท่านขึ้นบ่ามาที่ตึกโดม ที่ทำงานของท่านก็คือที่ใต้ตึกโดม ปัจจุบันเป็นห้องรับรองของมหาวิทยาลัย ที่ข้างหน้ามีพระรูปรัชกาลที่ 5 ตรงนั้นคือห้องทำงานของท่าน ซึ่งปรกติท่านไม่ได้มาประจำ

อีกด้านหนึ่งความสัมพันธ์กับนักศึกษาของท่านปรีดีนั้น ผมคิดว่าอาจจะมาจากบทบาทที่ผมบอกว่าเป็นรัฐมนตรีจนกระทั่งมีตำแหน่งสูงมากเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และท่านก็มีตำแหน่งผู้ประศาสน์การมาตลอดด้วย บทบาทที่ผมคิดว่าคงทำให้นักศึกษามีความ รู้สึกผูกพันอย่างมากมาย คือบทบาทของผู้รักสันติภาพในยามสงครามโลกครั้งที่ 2 อันนี้เป็นจุดสุดยอดอีกอันหนึ่งของชีวิตการทำงานของท่าน ที่กลายเป็นผู้นำขบวนการใต้ดินเสรีไทย ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญและคุณูปการแต่เฉพาะต่อสังคมไทย แต่สำหรับธรรมศาสตร์ด้วย

เรื่องมีอยู่ว่าในการปฏิบัติงานของขบวนการเสรีไทยนั้น สถานที่ที่สำคัญของการดำเนินงานมีอยู่ สามแห่ง คือ

ทำเนียบท่าช้าง (เป็นตึกเก่าใกล้สะพานพระปิ่นเกล้า และเป็นที่พำนักของท่านปรีดีในสมัยนั้น)
ตึกโดม
ตึกที่พักของท่านที่พระราชวังบางปะอิน (เมื่อท่านไปถวายการดูแลสมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า)
ดังนั้นธรรมศาสตร์ก็มีบทบาทสำคัญมากในช่วงของเสรีไทย ตึกโดมคือสถานที่สำคัญของขบวนการสันติภาพอันนั้น มีนักศึกษาจำนวนหนึ่ง (ร่วมกับจุฬาฯ ด้วย) ได้รับการคัดเลือกจากท่านปรีดี และอาจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ เพื่อส่งไปฝึกช่วยงานของเสรีไทย

ดังนั้นในตอนนี้ความสัมพันธ์สุดยอดที่ท่านปรีดีจะมีกับนักศึกษาธรรมศาสตร์ นอกจากการเป็นผู้ให้ ความสามารถส่วนตัวในทางการงาน สติปัญญา ความใกล้ชิดนักศึกษาในระดับหนึ่ง บทบาทหลังก็คือบทบาทนักสันติภาพของท่าน เราจะเห็นได้ตั้งแต่แรก เมื่อมีการเรียกร้องดินแดนในอินโดจีนช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มีกระแสของลัทธิชาตินิยมขวาจัด ท่านปรีดีเตือนอยู่เสมอว่า การเรียกร้องดินแดนนั้นต้องใช้สันติวิธี ไม่ใช้กำลังอาวุธ ถ้าเราเข้าไปในอินโดจีนเมื่อไรญี่ปุ่นก็จะเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ไทยไม่สามารถรักษาความเป็นกลางไว้ได้

จุดที่เราจะเห็นได้ชัดอีกก็คือ พระเจ้าช้างเผือก อันเป็นภาพยนตร์ที่ท่านสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ ช่วงก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพา สะท้อนความคิดของท่านในเรื่องของสงครามและสันติภาพ นางเอก พระเจ้าช้างเผือก นั้นก็เป็นดาวธรรมศาสตร์ (ไพลิน นิลรังสี) หลายท่านคงได้ดูหนังเรื่องนี้ ได้เคยอ่านเรื่องราวมาแล้ว การสร้างหนัง พระเจ้าช้างเผือก มีส่วนให้นักศึกษากับท่านใกล้ชิดกันมาก การเลือกพระเอกนางเอกก็ดูตัวที่ตึกโดมนี้เอง แล้วหนังเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ก็มีบทบาทในการกอบกู้ประเทศไทยภายหลังสงครามโลกอีกด้วย นี่เป็นสารแสดงความคิดของท่านเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ ท่านยืนอยู่กับสันติภาพกับทางฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่าฝ่ายอักษะ ทำให้สัมพันธ์มิตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา เห็นเจตจำนงของคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งเป็นอย่างดี

บทบาทและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของท่านปรีดีที่หลากหลาย ดำเนินมาจนถึงจุดสุดท้าย เมื่อเกิดรัฐประหาร 2490 (ด้วยข้ออ้างและการใส่ร้ายป้ายสีท่านจากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ) ดังที่ทราบกัน ท่านปรีดีต้องจากประเทศไทยและจากธรรมศาสตร์ไป แต่ว่าท่านปรีดียังอยู่ในความรู้สึกในฐานะผู้ให้ และผู้สร้างชีวิตและวิญญาณของธรรมศาสตร์ ยังผูกพันอยู่กับคนธรรมศาสตร์จำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้น ในยุคสมัยที่สัจจะเริ่มปรากฏเมื่อไม่นานนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคหลัง 14 ตุลาคม 2516 ท่านปรีดีก็กลับมาเป็นที่ยอมรับในสังคมไทย ในฐานะของมหาบุรุษแห่งสามัญชน แต่ก็ต้องใช้เวลายาวนานกว่าเกือบครึ่งศตวรรษ (ที่ท่านและครอบครัวต้องตกระกำลำบากแสนสาหัส) ที่จะทำให้สัจจะประจักษ์ขึ้นมาได้

ผมอยากจบลงด้วยการนำหนังสือ ธรรมจักร พิมพ์เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2493 (11 พฤษภาคม คือวันเกิดของท่านปรีดี) มีผู้เขียนท่านหนึ่งที่ใช้นามปากกาว่า “14559” กล่าวปิดยุคสมัยนั้นว่า

ครั้นเกิดรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ประมุขของมหาวิทยาลัยต้องลี้ภัยการเมืองไปยังต่างประเทศ อาจารย์ถูกจับกุมคุมขัง การสอบไล่ของนักศึกษาในบางลักษณะวิชาต้องทำการสอบกันใหม่เนื่องจากกระดาษคำตอบของนักศึกษาถูกใช้เป็นเป้าสำหรับประลองความคมของดาบปลายปืน ขณะนั้นเป็นเวลาปิดสมัยการศึกษาประจำปี ซึ่งโดยปกติมหาวิทยาลัยก็เงียบเหงาอยู่แล้ว แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าและทึบทะมึน แม้ดวงอาทิตย์จะแจ่มกระจ่างปานใดก็ตาม แต่นักศึกษาที่ย่างเท้าเข้าไปในมหาวิทยาลัยในขณะนั้น ก็รู้สึกประหนึ่งว่าดวงอาทิตย์นั้นไร้แสง เพราะยอดโดมที่เคยตระหง่านท้าทายเมฆดูคล้ายประหนึ่งว่าจะพลอยเศร้าไปกับนักศึกษาด้วย เพราะเขาเหล่านั้นรู้สึกโดยสัญชาติญาณว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปวาระที่เขาจะต้องกัดฟันเผชิญกับมรสุมและพายุร้ายได้มาถึงแล้ว

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ พระเจ้ากรุงธนบุรี





พระราชประวัติ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ พระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า " สิน " ( ชื่อจีนเรียกว่า เซิ้นเซิ้นซิน ) เป็นบุตรของขุนพัฒน์ ( นายหยง หรือ ไหฮอง แซ่อ๋อง บางตำราก็ว่า แซ่แต้ ) และ นางนกเอี้ยง ( กรมพระเทพามาตย์ ) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ มีนาคม พ.ศ. 2277 ในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมา เจ้าพระยาจักรีผู้มีตำแหน่งสมุหนายกเห็นบุคลิกลักษณะ จึงขอไปเลี้ยงไว้เหมือนบุตรบุญธรรม ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย ได้รับการศึกษาขั้นต้นจากสำนักวัดโกษาวาส (วัดคลัง ) และ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 13 ขวบ ที่วัดสามพิหาร หลังจากสึกออกมาแล้ว ได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก และ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่ออายุครบ 21 ปีตามขนบประเพณี ของไทยบวชอยู่ 3 พรรษา หลังจากสึกออกมาได้เข้ารับราชการ ต่อ ณ. กรมมหาดไทยที่ศาลหลวงในกรมวัง ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) จึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตากจนได้เป็นพระยาตาก ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นได้ถูกเรียกตัวเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เพื่อแต่งตั้งไปเป็น พระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองคนเก่าที่ถึงแก่อนิจกรรมลงใน พ.ศ. 2310 ครั้นเจริญวัยวัฒนา ก็ได้ไปถวายตัวทำราชการกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความดีความชอบจนได้รับเลื่อนหน้าที่ราชการไปเป็นผู้ปกครองหัวหน้าฝ่ายเหนือคือ เมืองตาก และเรียกติดปากมาว่า "พระยาตากสิน" สมเด็จพระเจ้าตากสินหรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ( ตามหนังสือราชการ ) เป็นยอดวีรบุตรนักรบ ฝีหัตถ์เยี่ยม ทรหดอดทน กล้าหาญ ไม่กลัวตาย และเป็นผู้ดึงอิสระเสรีของชาติไทยมาจากเงื้อมมือของผู้ช่วงชิงไป
สมเด็จพระเจ้าตากสิน หลังจากที่ได้กอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาก็ทรงปกครองบ้านเมืองคล้ายคลึงกับพระราโชบายของพ่อขุนรามคำแหง คือ แบบพ่อปกครองลูก พระเจ้าตากสินทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ไม่ถือตัว ชอบปรากฎพระวรกายให้ประชาราษฎรเห็น และชอบถามสารทุกข์สุขดิบของประชาชนทั่วไป ทรงหาวิธีให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ทำมาหากินโดยปกติสุข ใครดีก็ยกย่องสรรเสริญ ผู้ใดทำไม่พอพระทัย ก็ดุด่าว่ากล่าวดังพ่อสอนลูก อาจารย์สอนศิษย์ ซึ่งสมกับโคลงยอพระเกียรติของนายสวนมหาดเล็กที่ว่า

พระเดียวบุญลาภเลี้ยง ประชากร
เป็นบิตุรมาดร ทั่วหล้า
เป็นเจ้าและครูสอน สั่งโลก
เป็นสุขทุขถ้วนหน้า นิกรทั้งชายหญิง


ในสมัยของพระองค์นอกจากเกณฑ์ผู้คนเข้ากองทัพไปราชการสงครามแล้ว ความเดือดร้อนอื่นๆ หามีไม่เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมยิ่งมีพระเมตตาจิตต่อพศกนิกรของพระองค์อย่างทั่วหน้า และ มีพระศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ศาสนาลัทธิอื่นเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในไทย คือ บาทหลวงฝรั่งเศส แต่ครั้นได้รับสิทธิให้ทำการเผยแพร่ศาสนาของตนแล้ว กลับยุยงให้คนไทยที่เข้ารีดให้ขัดขืนต่อราชการหลายหนเป็นการนำผลร้ายให้แก่ไทย จึงขอทรงให้บาทหลวงคณะนั้นออกไปพ้นพระราชอาณาเขต และทรงห้ามคนไทยมิให้ถือศาสนานั้นอีกเป็นอันขาดในยามรบทัพจับศึก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเหี้ยมหาญ อดทน สมเป็นชายชาตรีชาตินักรบฝีมือเยี่ยมจะเห็นได้ว่าในราชการสงครามแต่ละครั้งในสมรภูมิ นายทัพนายกองตลอดจนไพร่พลมักถูกลงโทษด้วยทำการไม่ได้ดังพระทัยเสมอ เช่น เมื่อคราวเรียกกองทัพกลับแล้วให้เลยไปราชบุรี มีนายทัพคนหนึ่งขัดรับสั่งแวะบ้านเสียก่อน ถึงหัวขาด นี่แสดงถึงความพิโรธของพระองค์ แต่เมื่อถึงคราวเสียสละพระองค์ก็ยอมตัดสินพระทัยไม่อยู่ดูอาการสมเด็จพระชนนีทรงพระประชวรพระอาการน่าวิตก ทั้งๆ ที่ " เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้ " แต่ทรงเป็นห่วงราชการสงครามมากกว่าพระราชชนนี ทรงห่วงใยว่า " ถ้ามิได้เสด็จไปบัญชาการ ก็คงจะเอาชนะพม่ามิได้ " ในคราวรบพม่าที่บางแก้ว จังหวัดราชบุรี เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2317 แล้วทรงปรารภด้วยความน้อยพระทัยว่า " ใช้พวกลูกๆ ไปทำสงครามครั้งใด ถ้าพ่อไม่เข้ากองทัพไปด้วย ไม่เห็นรบชนะศึกสักราย "
ข้อนี้เป็นความจริง สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ไปทำสงครามตามลำพัง หลังจากเป็นแม่ทัพไปรบกับพม่าคราวอะแซหวุ่นกี้หัวเมืองฝ่ายเหนือ เมื่อปีมะแม พ.ศ. 2318 และสองท่านนี้เท่านั้น เป็นพระกรขวาซ้ายในราชการสงครามทุกครั้ง และทรงเป็นทหารเอกยอดนักรบคู่พระราชหฤทัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

พระราชภารกิจ

หลังจากกอบกู้เอกราชให้แก่ประเทศชาติ คือ การปราบชุมนุมต่างๆ ที่ตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ตั้งแต่ชุมนุมสุกี้พระนายกอง จนถึงชุมนุมเจ้าพระฝางให้ราบคาบ รวมอาณาจักรเป็นอันเดียวกันนับเป็นเวลาสามปี ครั้นสำเร็จตามพระทัยปราถนาแล้ว ก็ต้องทำสงครามกับพม่าต่อ ทรงยืนหยัดต่อสู้อยู่ด้วยพระทัยเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง จนได้อาณาเขตกว้างขวางออกไปทั้งสี่ทิศ คือ
ทิศเหนือ ได้ดินแดนเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์
ทิศตะวันออก ได้ดินแดนลาวและเขมร ทางฝั่งแม่น้ำโขงจดอาณาเขตญวน
ทิศใต้ ได้ดินแดนเมืองกะลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี
ทิศตะวันตก จดดินแดนเมืองเมาะตะมะ ทวาย มะริด และตะนาวศรี
เจ้าตาก สมภพเมื่อปีขาล พ.ศ. 2277 เวลาเมื่อเข้ามากู้กรุงศรีอยุธยา อายุย่างเข้า 34 ปี พระเจ้าตากสินมีชื่อเสียงปรากฎว่ามีฝีมือรบพุ่งเข้มแข้ง แม้พวกพม่าข้าศึก ก็ยกย่องว่าเป็นนายทหารสำคัญคนหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พาทหารกล้าตายห้าร้อยคนออกจากค่ายวัดพิชัย หนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แล้วและได้ปะทะกับพม่ากลางทุ่งนา คราวนั้นก็รบเอาชัยเป็นฤกษ์เสียแล้ว ต่อไปก็รบชนะเรื่อยมา แม้เมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มีกำลังทหารมาก ก็สามารถรบชนะเข้าไปกินข้าวเช้ากันในเมืองได้ ครั้นยกกองทัพเรือขึ้นมากอบกู้อิสระเสรี ก็มีชัยชนะตั้งแต่เมืองธนบุรี ที่กรุงศรีอยุธยา มีคราวเดียวกับที่รบกับอะแซหวุ่นกี้ และนับเป็นราชการสงครามที่พระองค์ทรงเป็นจอมทัพ ไม่ถึงแก่แพ้ชนะแก่กัน พม่าถอยทัพกลับไปเองเสียก่อนแต่กระนั้นก็ขับไล่พม่าที่ตกค้างแตกพ่ายเสียหายอย่างยับเยิน




ผลงานที่สร้างชื่อของพระเจ้าตากสิน
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์มีความสำคัญที่ชาวไทยไม่สามารถจะลืมในพระคุณงามความดีที่ทรงกอบกู้เอกราชเริ่มแต่ ทรงตีฝ่าวงล้อมพม่าเมื่อออกจากค่ายวัดพิชัย พร้อมด้วยสมัครพรรคพวกห้าร้อยคน มีอาวุธคือปืนเพียงกระบอกเดียว นอกนั้นเป็นหอกดาบ ก็สามารถตีหักฝ่าวงล้อมพม่าออกไปได้ หรือทรงเข้ายึดเมืองจันทบุรี ถือเป็นการเริ่มต้นของพระองค์ เพราะได้เริ่มประกาศพระองค์ขึ้นเป็นเจ้าคนทั้งปวงเรียกพระนามว่า "เจ้าตากสิน" แต่นั้นมา พระองค์เริ่มสะสมเสบียงอาหาร อาวุธ กำลังทหาร เพื่อเข้าทำการกอบกู้อิสรภาพ ทรงได้อิสรภาพคืน ที่เรียกว่ากอบกู้อิสระเสรีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเตรียมรบพร้อมสรรพและตีได้เมืองธนบุรีแล้ว ได้ขึ้นมาตีพม่าที่ค่ายโพธิสามต้น รบชนะพม่าแตกพ่ายทรงยึดกรุงศรีอยุธยาได้ ข้าราชการได้อัญเชิญเสด็จขึ้นเสวยราชย์ เป็นพระเจ้าอยู่หัวของชาติไทยทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่ขนานนามเรียกแตกต่างเป็นหลายอย่างเช่น ขุนหลวงตากเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครองราชย์สมบัติกรุงธนบุรีได้ 15 ปีเศษ ก็สิ้นพระชนม์มีชนมายุ 48 พรรษา กรุงธนบุรีมีกำหนดอายุกาลได้ 15 ปี



**********************************

บรรณานุกรม:
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. 42ประวัติบุคคลสำคัญ.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์บรรณกิจ,2531
เปลื้อง ณ. นคร. ประวัติวรรณคดีไทย.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,2525.

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ



สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็น พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาชุ่ม รัชกาลที่ ๔ ประสูติในบรมมหาราชวังเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๐๕ ทรงพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร

การศึกษาของพระองค์ในขั้นต้น ได้ทรงศึกษาภาษาไทยตามแบบเก่ากับคุณแสงเสมียนและคุณปาน ธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ในพระบรมมหาราชวัง ภาษาบาลีในสำนักพระยาปริยัติธรรมธาดา(เปี่ยม)และหลวงธรรมานุวัติจำนง(จุ้ย)ภาษาอังกฤษในโรงเรียนหลวง นายฟรานซิส ยอร์ช แพตเตอร์สัน เป็นพระอาจารย์

พระองค์ได้รับราชการในกรมทหารมหาดเล็กมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าโปรดให้ทรงจัดการกรมแผนที่เพื่อฝึกให้คนไทยทำแผนที่ พระองค์ก็ทรงกระทำอย่างเรียบร้อย ภายหลังโปรดให้บังคับบัญชากรมกองแก้วจินดา พระองค์ก็ทรงปฏิบัติได้อย่างถูกต้องพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ จึงทรงได้รับพระราชทานสุพรรณบัตร สถาปนากรมหมื่นดำรงราชานุภาพ

การปกครองในเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าได้ทรงปฏิรูปใหม่เป็นอันมาก เช่นเมื่อทรงเห็นโรงเรียนมากขึ้นตามลำดับ ก็ทรงตั้งกรมศึกษาธิการขึ้นโดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นปฐมอธิบดี และต่อมากิจการศึกษาธิการกว้างขวางขึ้น จึงโปรดให้รวมกรมศึกษาธิการเข้ากับกรมธรรมการแล้วทรงตั้งให้เป็นกระทรวงธรรมการ ต่อมาโปรดให้เป็นราชฑูตพิเศษออกนานาประเทศ พระองค์ก็สนองพระราชโองการได้โดยเรียบร้อย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจัดระเบียบการปกครองใหม่ ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพไปเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทั้งยังเคยทรงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาผู้สำเร็จการราชการแผ่นดิน

ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้ทรงรับสถาปนาเลื่อนขึ้นเป็นกรมหลวง ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านก็ได้สนองพระเดชพระคุณตลอดมา ตราบจนชราทุพพลภาพ ไม่สามารถทำราชการหนักในตำแหน่งต่อไปอีก จึงกราบถวายบังคมลาออกจากเสนาบดีมหาดไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงสถาปนาเป็นเสนาบดีที่ปรึกษา

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ โปรดเกล้าให้เลื่อนเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อันเป็นยศที่สูงสุดในทางทรงกรม

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเริ่มประชวรด้วยโรคพระหทัย (หัวใจ)พิการมาตั้งแต่เดือนธันวา พ.ศ.๒๔๘๔ จึงเสด็จกลับมารักษาพระองค์ยังเมืองไทย พระอาการทรงและทรุดเรื่อยมาจนสิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๖

ผลงานนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

๑. พงศวดาร ๑๓๔ เรื่อง

๒. โคลงกลอน ๙๒ เรื่อง

๓. ศาสนา ๗๙ เรื่อง

๔. อธิบายแทรก ๑๙ เรื่อง

๕. ประวัติ ๑๖๐ เรื่อง

๖. ตำนาน ๑๓๐ เรื่อง

๗. ในนิตยสารสยามสมาคม ๑๐ เรื่อง และพระนิพนธ์เรื่องสุดท้ายคือ ลักษณะเรียกพระเจ้าแผ่นดินซึ่งทรงร่างไว้ด้วยดินสอค้างไว้ก่อนสิ้นพระชนเพียง ๑ เดือน ปัจจุบันเก็บไว้ในหอสมุดดำรงราชานุภาพ



พระเกียรติคุณของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยากที่จะพรรณนาได้หมด ด้วยพระองค์ท่านเป็นอัจฉริยะบุรุษ ทรงประกอบพระเกียรติคุณเป็นอันมาก ในด้านการปกครอง พระองค์เป็นเสนาบดีคู่พระราชหฤทัยของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเช่นเดียวกับสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์ ในด้านการศึกษา นอกจากทรงค้นคว้าหลักวิชาการต่างๆ และได้จัดการโรงเรียนเป็นพระองค์แรกแล้ว ยังได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆไว้อย่างมากมาย ในด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี พระองค์ได้ทรงค้นคว้าและหาหลักฐานต่างๆเป็นอันมาก ถ้าทรงทราบว่ามีวัตถุโบราณแล้ว มักจะเสด็จไปตรวจตราด้วยพระองค์เองจนทำให้ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเด่นชัดอีกเป็นอันมาก ในด้านวรรณคดี พระองค์ได้ทรงนิพนธ์เรื่องร้อยกรองไว้ไม่น้อย ข้อที่สำคัญที่สุดในทางวรรณคดี ก็คือ พระองค์ทรงสามารถรวบรวมวรรณคดีเก่าๆไว้ ให้พวกอนุชนรุ่นหลังได้พบเห็นได้เป็นอันมาก ตั้งแต่วรรณคดีตอนปลายกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นๆ จะเห็นได้ว่าพระองค์ท่านเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดี และทั้งยังเป็นนักปราชญ์นักปกครองที่สามารถอีกด้วย


**********************************

บรรณานุกรม

พูนพิศมัย ดิศกุล. ชีวิตและงานของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ.กรุงเทพ:สำนักพิมพ์คลังวิทยา,๒๕๑๗.
พูนพิศมัย ดิศกุล. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ.กรุงเทพ:มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป , ๒๕๒๕.
ทักษิณ ณ ตะกั่วทุ่ง. พระบิดาองค์บิดาและพระมารดาของไทย.กรุงเทพ:สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร,๒๕๔๖.

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช





จอมคน ยอดนักรบ แห่งแผ่นดิน

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทุ่มเทชีวิตเป็นเดิมพัน

ในการกอบกู้เอกราชให้แผ่นดิน "สงครามยุทธหัตถี"

เดิมพันอันยิ่งใหญ่ หมายถึงชีวิต หมายถึงแผ่นดิน

ที่พระองค์ไม่อาจปราชัย พระราชประวัติของพระองค์

สมควรค่ายิ่งแก่การเทิดพระเกียรติ



พระราชประวัติโดยย่อ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชหรือที่ชาวบ้านทั่วไปในครั้งนั้นเรียกว่า " พระองค์ดำ " สมเด็จพระนเรศวรทรงพระราชสมภพที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๐๙๘ ในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ราชวงศ์สุโขทัย และสมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระราชนนี ราชวงศ์สุวรรณภูมิทรงมีพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระอนุชา คือ พระสุพรรณกัลยาณี และสมเด็จพระเอกาทศรถ ตามลำดับ

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมีพระชนมายุ ๕๐ พรรษาทรงประชวรเป็นหัวละลอกขึ้นที่แสกพระพักตร์ ขณะเสด็จไปตีกรุงอังวะและประทับแรมอยู่ที่ตำบลทุ่งแก้ว แขวงเมืองหาง และเสด็จสวรรคตเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปี มะเส็ง พุทธศักราช ๒๑๔๘

พระราชกรณียกิจและเหตุการณ์สำคัญ

พุทธศักราช ๒๑๐๗
พระชนมายุ ๙ พรรษา สมเด็จพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ พม่ายกมาตีกรุงศรีอยุธยา ทรงถูกนำไปเป็นตัวประกัน ณ กรุงหงสาวดี ประทับ ๖ ปี
พุทธศักราช ๒๑๑๓
พระชนมายุ ๑๕ พรรษา เสด็จฯ กลับจากกรุงหงสาวดี
พุทธศักราช ๒๑๑๔
พระชนมายุ ๑๖ พรรษา เสด็จขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก มีอำนาจบัญชาการหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง
พุทธศักราช ๒๑๑๗
พระชนมายุ ๑๙ พรรษา ทรงยกทัพไปพร้อมกับสมเด็จพระราชบิดา เพื่อสมทบกับทัพหลวงตีเมืองเวียงจันทน์
พุทธศักราช ๒๑๒๑
พระชนมายุ ๒๓ พรรษา ทรงเรือพระที่นั่งไล่กวดจับพระยาจีนจันตุที่ลงเรือหนีไปปากแม่น้ำเจ้าพระยา ในการสู้รบครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงความกล้าหาญอย่างยอดเยี่ยม
พุทธศักราช ๒๑๒๒
พระชนมายุ ๒๔ พรรษา ทรงเป็นแม่ทัพต่อสู้กับพระทศราชาซึ่งคุมกองทัพเขมรเข้ามาตีโคราชและหัวเมืองชั้นใน และทรงได้รับชัยชนะทั้งที่ทรงมีกำลังทหารน้อยกว่า
พุทธศักราช ๒๑๒๔
พระชนมายุ ๒๖ พรรษา พระเจ้ากรุงหงสาวดีสวรรคตได้เสด็จฯ ไปกรุงหงสาวดีในพิธีบรมราชาภิเษกกษัตริย์ องค์ใหม่แทนพระราชบิดา
พุทธศักราช ๒๑๒๖
พระชนมายุ ๒๘ พรรษา ได้เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเมืองหงสาวดีไปตีเมืองลุม เมืองคัง ในรัฐไทยใหญ่ ตามคำสั่งของพม่า
พุทธศักราช ๒๑๒๗
พระชนมายุ ๒๙ พรรษา ทรงประกาศอิสรภาพของไทย ณ เมืองแครง พระเจ้ากรุงหงสาวดีให้สุระกำมายกกองทัพตามมาไล่จับสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ทรงยิงปืนข้ามแม่น้ำสะโตงถูกสุระกำมา แม่ทัพพม่าตายและทรงได้รับมอบอำนาจให้บัญชาการบ้านเมืองสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว
สงครามไทยกับพม่า พระยาพะสิมยกกำลัง ๑๓๐,๐๐๐ คนมาทางเมืองสุพรรณบุรี พระเจ้าเชียงใหม่มาทางเหนือตีพม่าแตกกลับไป
พุทธศักราช ๒๑๒๘
สงครามไทยกับพม่า ทรงสู้รบกับพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านสระเกศ พม่า ๑๕๐,๐๐๐ คน ไทย ๘๐,๐๐๐ คน ไทยตีทัพพม่าแตกกลับไป
พุทธศักราช ๒๑๒๙
สงครามไทยกับพม่า พระเจ้าหงสาวดียกกำลังทหาร ๒๕๐,๐๐๐ คน มาล้อมกรุงอยู่ ๖ เดือน ไทยมีกำลัง ๘๐,๐๐๐ คน ตีขับไล่พม่าจนต้องถอยทัพกลับไป ไม่สามารถเข้าถึงกำแพงพระนครได้
พุทธศักราช ๒๑๓๓
พระชนมายุ ๓๕ พรรษา สมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาสวรรคต พระองค์เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ ทรงสถาปนาพระเอกาทศรถ เป็นพระมหาอุปราชา และมีพระเกียรติยศสูงเสมอพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง
สงครามไทยกับพม่า พระมหาอุปราชายกมาครั้งแรกที่สุพรรณบุรี พม่า ๓๐๐,๐๐๐ คน ไทยมีกำลัง ๘๐,๐๐๐ คน ตีพม่าแตกพ่ายไป จับพระยาพะสิมแม่ทับพม่าที่จระเข้สามพันธุ์
พุทธศักราช ๒๑๓๕
พระชนมายุ ๓๗ พรรษา สงครามยุทธหัตถี พม่า ๒๔๐,๐๐๐ คน ไทย ๑๐๐,๐๐๐ คน รบกันที่เมืองสุพรรณบุรี ทรงมีชัยชนะฟันพระมหาอุปราชามังกะยอชวาแห่งกรุงหงสาวดี ด้วยพระแสงของ้าวสิ้นพระชนม์ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕
สงครามเมืองทะวาย ตะนาวศรี ไทย ๑๐๐,๐๐๐ คน ตีได้เมือง
พุทธศักราช ๒๑๓๖
สงครามเมืองเขมร ไทย ๑๓๐,๐๐๐ คน เขมร ๗๕,๐๐๐ คน ไทยตีได้เมืองเขมร
พุทธศักราช ๒๑๓๗
สมครามไทยกับพม่า ไทยตีได้หัวเมืองมอญ
พุทธศักราช ๒๑๓๘
สงครามไทยกับพม่า ยกทัพไปตีเมืองหงสาวดีครั้งที่ ๑ ไม่สำเร็จ ไทยมีกำลัง ๑๒๐,๐๐๐ คน
พุทธศักราช ๒๑๔๒
สงครามไทยกับพม่า ยกทัพไปตีเมืองหงสาวดีได้สำเร็จ ไทย ๑๐๐,๐๐๐ คน แล้วไปล้อมเมืองตองอูอยู่ ๒ เดือน เสบียงอาหารหมดต้องยกทัพกลับ
พุทธศักราช ๒๑๔๖
สงครามเมืองเขมร ได้เมือง
พุทธศักราช ๒๑๔๗
สงครามครั้งสุดท้ายของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยกทัพไปตีกรุงอังวะ ไทย จำนวน ๒๐๐,๐๐ คน แต่ทรงประชวร และเสด็จสวรรคตเสียก่อน



สงครามยุทธหัตถี

สมเด็จพระนเรศวรทรงก้าวขึ้นครองราชบัลลังค์ได้เพียงไม่นาน ๔ เดือนเท่านั้น ก็เผชิญศึกใหญ่ พม่ายกเข้ามารุกรานอีก ในช่วงที่ผลัดแผ่นดินใหม่ ด้วยความเข้าใจว่าอาจเกิดความยุ่งยากขึ้นมาตามธรรมเนียมของบ้านเมือง พม่าได้ยกไพร่พลมาครั้งนี้เป็นทัพใหญ่มีไพร่พลถึง ๓ แสน จัดเป็น ๒ ทัพ มุ่งเข้ามาทางด่านพระเจดีย์ สามองค์ เพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอย่างเร็วพลันไม่ให้ตั้งตัวได้

สมเด็จพระนเรศวรทรงปรับกระบวนวิธีการรบใหม่ทันที โดยทรงใช้วิธียาตราทัพไปซุ่มรับอยู่ที่สุพรรณบุรี แล้วส่งกองทัพน้อยไปเมืองกาญจนบุรีทำทีเหมือนจะไปรักษาเมือง พม่าหลงกลรุกไล่กองทัพน้อยของไทย ซึ่งถอยหนีหลอกล่อมาทางที่ทัพหลวงซุ่มอยู่

พอได้จังหวะ ก็พร้อมกันออกตะลุมบอน ตีพม่าแตกยับถูกทหารไทยฆ่าฟันล้มตายนับไม่ถ้วน ส่วนแม่ทัพคือ พระมหาอุปราชาทรงหนีรอดเงื้อมือไปได้

นับเป็นชัยชนะศึกใหญ่ต้อนรับการขึ้นสู่ราชบังลังค์ของสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของชาวไทย ที่ทำให้ขวัญของชาวไทยในเวลานั้นพลันฮึกเหิมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ซึ่งทำให้พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนเรศวรเกริกไกรกึกก้องขจรขจาย ไปทั่วทุกทิศานุทิศ ทำให้ไทยก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในย่านคาบสมุทรอินโดจีนแหลมทองของไทยนับ แต่บัดนั้นเป็นต้นมา

โดยการทำสงครามยุทธหัตถีในครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อ วันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ จุลศักราช ๙๔๕ ( พ.ศ. ๒๑๓๕) ก่อนที่จะได้ทำสงครามยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสุบินว่าได้ต่อสู้กับจระเข้ใหญ่



**********************************

บรรณานุกรม :

สะเทื้อน ศุภโสภณ. สมเด็จพระนเรศวร มหาวีรราชเจ้า. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ One World, ๒๕๔๗.
ประเทือง แก้วสุข.ใครนำไทย ไป... กรุงเทพฯ : กกกก ก่อกิจการพิมพ์, ๒๕๔๔.

ท้าวทองกีบม้า (ราชินีขนมไทย)






ว่าที่จริงแล้ว ขนม หรือ ที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าของหวานกับคนไทยนั้น เพิ่งจะมารู้จักมักคุ้นกันเมื่อ ๒๐๐ กว่าปีมานี้เอง ก่อนหน้านั้นคนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยลิ้มรสของกินรสหวานมันซึ่งปรุงจาก แป้ง ไข่ กะทิ และน้ำตาลกันเท่าใดนัก



..........โยส เชาเด็น ผู้จัดการบริษัทการค้าฮอลันดา ซึ่งเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและพระเจ้าปราสาททองเป็นเวลานาน ๘ ปี บันทึกไว้ว่า…อาหารของชาวสยามไม่ฟุ่มเฟือยและมีน้อยสิ่ง ตามปกติมี ข้าว ปลา และผัก ส่วนเครื่องดื่มตามปกตินั้น เขาดื่มแต่น้ำอย่างเดียว


..........ส่วนนิโคลาส์ แชรแวส ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางเข้ามาพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นเวลานาน ๔ ปี ก็บันทึกไว้ว่า…ไม่มีชนชาติใดที่จะบริโภคอาหารอดออมเท่าคนสยาม สามัญชนดื่มแค่น้ำเท่านั้น แล้วก็กินข้าวหุง ผลไม้ ปลาแห้งบ้างเล็กน้อยแล้วยังกินไม่ค่อยอิ่มท้องเสียด้วย ชนชั้นสูงก็มิได้บริโภคดีไปกว่านี้ ทั้งที่สามารถซื้อหามาบริโภคได้ตามปรารถนา



..........เช่นเดียวกับซีมอง เดอ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสซึ่งเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ได้บันทึกไว้ว่า…ชาวสยามคนหนึ่ง ๆ จะอิ่มหนำสำราญด้วยข้าวซึ่งมีน้ำหนักวันละ ๑ ปอนด์ ราคาตกราว ๑ ลิอาร์ต แล้วก็มีปลาแห้งอีกเล็กน้อย หรือไม่ก็ปลาเค็ม ซึ่งราคาค่างวดก็ไม่แพงไปกว่าคาคาข้าวนัก เหล้าโรงหรือเหล้าที่ทำจากข้าวขนาด ๑ ไปน์ ที่กรุงปารีสก็ตากราว ๒ ซู เท่านั้นก็พอแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงนิสัยอยู่ง่ายกินง่ายของคนไทยเท่านั้น ยังเป็นสิ่งที่แสดงให้รู้ด้วยว่า คนไทยในสมัยโบราณยังไม่รู้จักคำว่า ขนม ซึ่งเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่กับข้าว แต่เป็นของกินหลังอาหาร หรือกินเล่น มีรสชาติหวานมัน อร่อยถูกปากเพราะปรุงจากแป้ง ไข่ กะทิ และน้ำตาล เชื่อกันว่าผู้ประดิษฐ์คิดขนมไทยออกมาเผยแพร่จนเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางสืบต่อมาจนทุกวันนี้มีชื่อว่า ท้าวทองกีบม้า ซึ่งเพี้ยนมาจาก ดอญ่า มาร กีมาร์ ท้าวทองกีบม้ามีชื่อเต็มว่า มารี กีมาร์ เด ปนา ส่วนคำว่า “ดอญ่า” เป็นภาษาสเปน เทียบกับภาษาไทยในขณะนั้นได้ว่า “คุณหญิง” เหตุที่เธอเป็นภริยาของออกญาวิไขเยนทร์อัครมหาเสนาบดีแห่งกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช



เธอเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๑ หรือ ๒๒๐๒ แต่บางแห่งว่าเธอเกิด พ.ศ.๒๒๐๙ โดยอ้างเหตุผลที่มีผู้บันทึกว่า เธอแต่งงานกับคอนสแตนติน ฟอลคอน ในปี พ.ศ. ๒๒๒๕ เมื่อมีอายุ ๑๖ ปี บิดาของท้าวทองกีบม้าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอลชื่อ ฟานิก ส่วนมารดาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมโปรตุเกสเกิดในกรุงศรีอยุธยา มีชื่อว่าอุรสุลา ยามาดา เชื่อกันว่าเชื้อสายทางมารดาของท้าวทองกีบม้าอพยพเเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยา หลังจากซามูไรชุดแรกเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก เซญอรา อิกเนซ มาร์แตงซ์ ผู้เป็นมารดาของอุรสุลาและเป็นยายของท้าวทองกีบม้าเล่าว่า ครองครัวของนางเป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดมาก และนางก็เป็นหลานสาวของคริสต์ศาสนิกชนคนแรกของญี่ปุ่นซึ่งนักบุญฟรานซิสซาเวียร์ประทานศีลล้างบาปและตั้งนามทางศาสนาให้



..........ประมาณ พ.ศ. ๒๑๓๕ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของญี่ปุ่นหรือที่เรียกันว่าโชกุน ผู้มีนามว่าฮิเดโยชิ ได้ออกพระราชกฤษฎีกาในพระนามสมเด็จพระจักรพรรดิ ให้จับกุมชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสต์ศาสนาลงโทษและริบราชบาตร บาทหลวงที่ทำงานเผยแพร่ศาสนาในญี่ปุ่นถูกกำจัดและขับไล่ พวกเข้ารีตปลายคนถูกประหารชีวิตที่เมืองนางาซากิน สร้างความตื่นเต้นตกใจให้แก่ชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาคาธอลิกเป็นอย่างมาก ยายของท้าวทองกีบม้าเองก็อยู่ในกลุ่มของชาวคริสต์ที่ถูกขับไล่ด้วย นางถูกจับยัดใส่กระสอบนำมาลงเรือที่เมืองนางาซากิ เพื่อเนรเทศไปยังเมืองไฟโฟประเทศเวียดนาม ซึ่งมีคริสต์ศาสนิกชนอยู่กันมากบนเรือลำนั้น นางได้พบกับตาของท้าวทองกีบม้า ซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์เช่นกัน เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามศาสนาและประเพณี หลังจากร่วมชีวิตกันมาระยะหนึ่งจึงหันมาประกอบการค้าจนมีฐานะดีขึ้น ขณะนั้นมีข่าวชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนี่งเดินทางมาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาและได้รับการต้อนรับอย่างดีสามารถตั้งหลักแหล่งทำมาหากินได้อย่างดี เพราะเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก ทำให้ตาและยายของท้าวทองกีบม้าตัดสินใจเดินทางมาตั้งถิ่นฐานยังกรุงศรีอยุธยาตลอดชีวิต โดยอาศัยอยู่ที่ค่ายโปรตุเกส ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา


..........หลังจากอุรสุลาแต่งงานกับฟินิกและมีลูกด้วยกันหลายคน มารี กีมาร์ เป็นลูกสาวที่จัดว่ามีรูปโฉมงดงามกว่าใครไม่เพียงแต่เป็นที่ต้องตาของชายหนุ่มชาวตะวันตกที่เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น แม้แต่ออกหลวงสรศักดิ์ก็ชื่นชมในความงามของเธอด้วย กล่าวกันว่าท้าวทองกีบม้านอกจากจะมีรูปโฉมเป็นเลิศแล้ว เธอยังเป็นผู้มีน้ำใจงดงามซื่อสัตย์และใจบุญสุนทาน มีความเมตตาปรานีอย่างหามีผู้ใดเสมอเหมือน ตลอดชีวิตของเธอดำเนินไปภายใต้กรอบแห่งความดีงามและความถูกต้อง โดยมีแรงศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าที่เธอเคารพนับถือเป็นหลักชัย ทำให้ได้ชื่อว่า เป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดมากที่สุดคนหนึ่ง ท้าวทองกีบม้าเป็นสตรีที่มีความอดทนเป็นเลิศ แม้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัสเพียงใดก็ยืนหยัดสู้โดยไม่ยอมท้อถอย ความเป็นผู้มีจิตใจสูงและมีน้ำใจกรุณาปรานี ทำให้เธอเป็นที่เคารพรักของคนทั่วไป ในขณะที่ชีวิตรุ่งโรจน์เธอก็ไม่ได้คิดแต่ความสุขเฉพาะตนหากแต่ยังห่วงใยถึงผู้ทุกข์ยากอีกมากมาย โดยได้รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กสาวกำพร้าและบรรดาลูกทาสที่เป็นลูกครึ่ง มีแม่เป็นชาวพื้นเมือง แต่มีพ่อเป็นชาวยุโรปเอาไว้หลายคน เด็กเหล่านี้ถูกบิดาทอดทิ้งไม่เหลียวแล ปล่อยให้อยู่กับมารดาที่ยากจนตามลำพัง เมื่อได้รับความอุปการะจากท้าวทองกีบม้าจึงมีชีวิตที่ดีขึ้น


..........มารี กีมาร์ แต่งงานกับคอนสแตนติน ฟอลคอนชาวกรีกที่เข้ามารัยราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนเป็นที่โปรดปราน ได้รับแต่งตั้งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีฟอลคอนยอย่องเธอในฐานะภรรยาเอก แม้ว่าก่อนหน้านั่นเขาจะเลี้ยงดูสตรีไว้ในฐานะภรรยาแล้วหลายคน ชีวิตสมรสของท้าวทองกีบม้าไม่สู้ราบรื่นนัก ด้วยคอนแสตนติน ฟอลคอน มีนิสัยเจ้าชู้ มักนอกใจเธออยู่เสมอ จึงมีเหตุต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรงเสมอมา เช่นเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๒๓๑ ฟอลคอนเกิดติดอกติดใจคลารา ทาสสาวที่ท้าวทองกีบมาอุปการะไว้ ทำให้มีปากมีเสียงกันอย่างรุนแรง จนเธอต้องขนข้าวของและเด็กสาวในอุปการะทั้งหมดหนีจากลพบุรีกลับมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา อันที่จริง ก่อนที่มารี กีมาณื หรือท้าวทองกีบม้าจะตกลงปลงใจยินยอมแต่งงานกับคอนสแตนติน ฟอลคอนนั้น เธอมิได้รักหรือชอบพอชายผู้นี้มาก่อนเลย แถมยังออกจะชิงชังนิสัยใจคอของชายชาวกรีกผู้นี้ด้วย นอกจากนั้นแล้วฟานิกเองก็เกลียดชังฟอลคอนมาก เพราะไม่เพียงแต่เขาจะนับถือศาสนาโปรเตสตันท์ซึ่งแตกต่างจากเธอแล้ว ฟอลคอนมักแสดงอาการดูหมิ่นเหยียดหยามบิดาของเธอเป็นประจำ โดยมักเรียกฟานิกว่าแขกดำ เหตุที่มารี กีมาร์ยินยอมแต่งงานกับฟอลคอน เพราะได้รับคำขอร้องจากบาทหลวงฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่เคารพนับถืออย่างสุงของเธอและบิดา โดยฟอลคอนให้สัญญาว่าเมื่อแต่งงานแล้วจะเปลี่ยนศาสนาเป็นคาธอลิก ชีวิตหลังจากแต่งงานของท้าวทองกีบม้ารุ่งโรจน์มาก แม้ฟอลคอนจะมีนิสัยเจ้าชู้ แต่ก็ให้ความเกรงใจเธอตลอดมา ๑ ปี หลังการแต่งงานฟอลคอนก็ได้เป็นผู้ควบุคมการก่อสร้างป้อมแบบยุโรปในกรุงศรีอยุธยาและบางกอก ต่อมาเมื่อออกญาโกษาธิบดี (เหล็ก) ถึงแก่กรรม ออกญาพระเสด็จซึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งออกญาโกษาธิบดีแทนก็เลื่อนตำแหน่งให้เขาขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ช่วยและยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นออกพระฤทธิ์กำแหง ตำแหน่งนี้ทำให้ฟอลคอนร่ำรวยชึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะประกอบการค้าส่วนตัวควบคู่ไปกับราชการด้วย ท้าวทองกีบม้าจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายหรูหราอย่างหาผู้ใดในกรุงศรีอยุธยาเปรียบเทียบไม่ได้ การเป็นภรรยาของขุนนางที่มีตำแหน่งสูง ทั้งยังต้องติดต่อสัมพันธ์กับชาวต่างประเทศเสมอ ทำให้ท้าวทองกีบม้าต้องพบปะเจอะเจอแขกที่เดินทางมาในฐานะราชอาคันตุกะและแขกในหน้าที่ราชการของสามี ดังนั้น เธอจึงจำเป็นต้องให้การต้อนรับและปรับตัวให้สมกับฐานะคุณหญิงที่ดำรงอยู่ด้วยการจัดตกแต่งบ้านเรือนแบบตะวันตกและนำสิ่งของที่ได้รับเป็นของขวัญจากภรรยาขุนนางต่างประเทศที่ส่งมาให้จัดวางในมุมที่หรูที่สุดของบ้าน นอกจากจะมีความรุ้ในเรื่องการจัดตกแต่งอย่างดีแล้ว เธอยังมีความรุ้ในด้านการปรุงอาหารอย่างดีเยี่ยมเพราะต้องทำอาหารเลี้ยงดูแขกเหรื่ออยู่เป็นประจำมิได้ขาด ปีที่ ๖ ของการเข้ารับราชการ ฟอลคอนได้รับตำแหน่งหน้าที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุด โดยได้เป็นสมุหนายกอัครมหาเสนาบดี แต่ด้วยความคิดมิชอบฟอลคอลที่ติดต่อกับฝรั่งเศสเป็นการลับให้ยึดสยามเป็นอาณานิคมจึงถูกกลุ่มของพระเพทราชาและออกหลวงสรศักดิ์จับในข้อหากบฏ เรียกตำแหน่งคืน ริบทรัพย์ และถูกประหารชีวิต เล่ากันว่า ก่อนขึ้นตะแลงแกงฟอลคอนได้รับอนุญาตให้ไปอำลาลูกเมียที่บ้าน แต่ด้วยความเกลียดชัง ท้าวทองกีบม้าซึ่งถูกจองจำอยู่ในคอกม้าถึงกลับถ่มน้ำลายรดหน้าและไม่ยอมพูดจาด้วย ต่อมาเธอถูกนำตัวกลับมายังกรุงศรีอยุธยา และถูกส่งตัวเข้าไปเป็นคนรับใช้ในพระราชวัง ออกหลวงสรศักดิ์ที่มีความพึงพอใจเธออยู่เป็นทุนเดิมต้องการได้เธอเป็นภรรยาน้อย แต่เธอไม่ยินยอม ทำให้ออกหลวงสรศักดิ์ไม่พอใจมากออกปากขู่ต่าง ๆนานา จนท้าวทองกีบม้าไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ จึงตัดสินใจลอบเดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยา โดยติดตามมากับนายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ ร้อยโทเซนต์ มารี เพื่อมาอาศัยอยู่กับนายพลเดฟาซจ์ที่ป้อมบางกอกและขอร้องให้ช่วยส่งตัวเธอและลูก ๒ คน ไปยังประเทศฝรั่งเศส แต่นายพลเตฟาช์จไม่ตกลงด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นปัญหาภายหลัง จึงส่งตัวท้าวทองกีบม้าให้แก่ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา กระนั้นเธอก็ยังต้องถูกคุมขังเป็นเวลานานถึง ๒ปี หลังการปลดปล่อยเธอได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ทำอาหารหวานประเภทต่าง ๆ ส่งเข้าไปในพระราชวังตามกำหนด ระหว่างนี้ท้าวทองกีบม้าได้กลับมาพักอยู่ที่ค่ายโปรตุเกส ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บ้านเกิดของเธอ การทำหน้าที่จัดหาอาหารหวานส่งเข้าพระราชวังทำให้ท้าวทองกีบม้าต้องประดิษฐ์คิดค้นขนมประเภทต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา จากตำรับเดิมของชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะโปรตุเกสซึ่งเป็นชาติกำเนิดของเธอ ท้าวทองกีบม้าได้พัฒนาโดยนำเอาวัสดุดิบพื้นถิ่นที่มีในประเทศสยามเข้ามาผสมผสาน จนทำให้เกิดขนมที่มีรสชาติอร่อยถูกปากขึ้นมามากมาย เมื่อจัดส่งเข้าไปในพระราชวังก็ได้รับความชื่นชมมาก ถึงขนาดถูกเรียกตัวเข้าไปรับราชการในพระราชวังในตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องต้น มีหน้าที่ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวงเป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์และเก็บผลไม้เสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาถึง ๒,๐๐๐ คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ยกย่องชื่นชม มีเงินคืนท้องพระคลังปีละมาก ๆ ด้วยนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีเมตตา ทำให้ท้าวทองกีบม้าถ่ายทอดตำรับการปรุงขนมหวานแบบต่าง ๆ ให้แก่สตรีที่ทำงานใต้บังคับบัญชาของเธอจนเกิดความชำนาญ และสตรีเหล่านี้เมื่อกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ญาติพี่น้องยังบ้านเกิดของตนก็ได้นำตำรับขนมหวานไปเผยแพร่ต่ออีกทอดหนึ่ง จึงทำให้ตำรับขนมหวานที่เคยอยู่ในพระราชวังแผ่ขยายออกสู่ชนบทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็กลายเป็นขนมพื้นบ้านของไทย


..........ชีวิตบั้นปลายของท้าวทองกีบม้าจัดว่ามีความสุขสบายตามสมควร โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านในค่ายโปรตุเกส กลางวันก็เดินทางเข้าไปทำงานในหน้าที่หัวหน้าห้องเครื่องต้นในพระราชวัง เย็นกลับมาอยู่กับหลาน ๆ วันอาทิตย์ไปโบสถ์เพื่อฟังธรรม และเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า ท้าวทองกีบม้ามีอายุยืนยาวกว่า ๖๖ ปี ได้เห็นการเปลี่ยนแผ่นดินถึง ๔ รัชกาล คือ รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือและรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ แม้ว่าท้าวทองกีบม้าจะมีกำเนิดเป็นคนต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโตและมีชีวิตอยู่ในประเทศสยามจวบสิ้นอายุขัย แถมยังสร้างสิ่งประดิษฐ์อันล้ำค่าทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมประเพณีของไทยเอาไว้อย่างมากมายมหาศาล สมกับคำยกย่องกล่าวขานของคนรุ่นหลังที่มอบแด่เธอว่า ราชินีขนมไทย

สมัยสุโขทัย
ขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศคือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย

สมัยอยุธยา
เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ

"ท้าวทองกีบม้า" "ท้าวทองกีบม้า" หรือ "มารี กีมาร์" เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก

ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้

ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"


ที่มา กระทรวงวัฒนธรรม

วันที่ขึ้นเนื้อหา: 03 กุมภาพันธ์ 2553
จำนวนครั้งที่เปิดอ่าน:11893

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ศาลพันท้ายนรสิงห์



แหล่งประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เรื่อง พันท้ายนรสิงห์ เมื่อปี พ.ศ.2247 สมเด็จพระเจ้าเสือ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกชัย จะไปประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำ เมืองสาครบุรี เมื่อเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขาม ซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยวและมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน โขนเรือพระที่นั่งกระทบกับกิ่งไม้หักตกลงไปในน้ำ พันท้ายนรสิงห์จึงได้กระโดดขึ้นฝั่งแล้ว กราบทูลให้ทรงลงพระอาญา ตามพระกำหนดถึงสามครั้งด้วยกัน เนื่องจากในสองครั้งแรก สมเด็จพระเจ้าเสือทรง พระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุ สุดวิสัย แต่ท้ายสุดก็ได้ตรัสสั่งให้ ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ตามคำขอ แต่เนื่องจากศาลพันท้ายนรสิงห์เดิม ตั้งอยู่ในคลองโคกขามซึ่งอยู่ลึกเข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร ทางจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมกับราษฎรจึงได้ร่วมกัน สร้างศาลขึ้นที่ ปากคลองโคกขาม เพื่อเป็นการสะดวกแก่การสักการะบูชาแทนศาลเก่า



ปัจจุบันบริเวณคลองโคกขามซึ่งเป็นที่ตั้งศาล ตื้นเขินจนแทบไม่เห็นทางน้ำ เดิมมีศาลเพียงตาเพียงศาลเดียว บนศาลมีหมวกทหารมหาดเล็กในกล่องพลาสติกใส เข้าใจว่า เป็นของใหม่ที่นำมาประดิษฐานไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพันท้ายนรสิงห์ ด้านหน้าศาลมีหลักประหาร ตัดคอแบบโบราณที่มีดอกไม้พวงมาลัยของผู้มากราบไหว้ห้อยระย้าดูขรึมขลัง ในปี พ.ศ. 2504 มีผู้ศรัทธาสร้างขึ้นอีกสองศาลในบริเวณนี้ คือศาลเจ้าพ่อพันท้ายนรสิงห์ หรือที่เรียกกันว่า ศาลเสด็จพ่อ และศาลเจ้าแม่ศรีนวล ซึ่งเป็นคนรักของพันท้ายนรสิงห์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 ได้ถูกบูรณะอีกครั้ง มีการจัดพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน พื้นปูด้วยอิฐ และทำทางเดินลายซีเมนต์อย่างดี
การเดินทาง จากตัวเมืองมหาชัยใช้ทางหลวงหมายเลข 3242 เลย รพ.สมุทรสาครไปราว 500 ม. เลี้ยวขวาตรงสามแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 3243 ตรงไปข้ามสะพานข้ามคลองมหาชัย ขับไปจนสุดถนน ซึ่งเป็นทางแยก เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.นิคมสหกรณ์ ตรงไป ผ่านวัดสหกรณ์โฆสิตาราม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ถ.สหกรณ์-พันท้ายนรสิงห์ ตรงไปจนสุดทางก็จะถึงศาล

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติ เปาบุ้นจิ้น


เปา เจิ่งถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวนักวิชาการแห่งนครเหอเฟย์ มณฑลอานฮุย ที่ซึ่งในปัจจุบันประดิษฐานวัดเจ้าเปา (จีน: 包公祠; พินอิน: Bāogōngcí; คำอ่าน: เปากงฉือ) วัดดังกล่าวสถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 1609 ใกล้กับสุสานของเปา เจิ่ง


เปา เจิ่งนั้นเมื่ออายุได้ยี่สิบเก้าปีได้เข้ารับการทดสอบหลวง และผ่านการทดสอบระดับสูงสุด ได้รับแต่งตั้งเป็นบัณฑิตเรียกว่า "จินฉื่อ" (พินอิน: Jinshi) และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงไคฟง อันเป็นเมืองหลวงแห่งประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ซ้ง


ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งหน้าที่ในราชการ เปา เจิ่งไม่ปรานีและประนีประนอมกับความทุจริตใด ๆ เลย เปา เจิ่งนั้นมีนิสัยรักและเทิดทูนความยุติธรรม ปฏิเสธที่จะเข้าถึงอำนาจหน้าที่โดยวิถีทางอันมิชอบ บุคคลผู้หนึ่งที่ชิงชังเปา เจิ่งนักได้แก่ราชครูผัง (จีน: 龐太師; พินอิน: Pángtàishī; คำอ่าน: ผังไท้ชือ) อย่างไรก็ดี ยังไม่ปรากฏข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดรับรองว่าราชครูผังผู้นี้มีความชิงชังในเปา เจิ่งจริง นอกจากนี้ การปฏิบัติราชการโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดยังทำให้เปา เจิ่งมีความขัดแย้งกับข้าราชการชั้นสูงบางกลุ่ม ซึ่งรวมถึงนายกรัฐมนตรีซ้งหยาง (พินอิน: Song Yang) เปา เจิ่งเคยสั่งลดขั้นตำแหน่งและปลดข้าราชการถึงสามสิบคนในคราเดียวกัน เหตุเพราะทุจริตต่อหน้าที่ราชการ รับและ/หรือติดสินบน และละทิ้งหน้าที่ราชการ กับทั้งเปา เจิ่งยังเคยกล่าวโทษจางเหยาจั๋ว (พินอิน: Zhang Yaozhuo) พระปิตุลาของพระวรชายา ถึงหกครั้ง อย่างไรก็ดี เนื่องจากความซื่อสัตย์และเฉียบขาดในการปฏิบัติหน้าที่ จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมเด็จพระจักรพรรดิเหรินจงจึงมิได้พระราชทานราชทัณฑ์แก่เปา เจิ่งในอันที่ได้ล่วงเกินบุคคลสำคัญดังกล่าวนี้


เพื่อนร่วมงานและผู้สนับสนุนคนสำคัญคนหนึ่งของเปา เจิ่ง ได้แก่ อ๋องแปด (จีน: 八王爺; พินอิน: Bāwángyé; คำอ่าน: ปาหวังอี๋) ซึ่งเป็นพระมาตุลาในสมเด็จพระจักรพรรดิเหรินจง


เปา เจิ่งนั้น ถึงแม้รับราชการเป็นเวลากว่าสี่สิบห้าปี และมีตำแหน่งหลากหลายเริ่มตั้งแต่เป็นนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ผู้ว่าราชการกรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นต้น แต่ผู้คนมักรู้จักเปา เจิ่งในด้านตุลาการ แม้ว่าความจริงแล้วเปา เจิ่งไม่ได้มีอาชีพเป็นตุลาการโดยตรงก็ตาม ความเด็ดเดี่ยวและกล้าตัดสินใจ ทำให้ผู้คนพากันยกย่องและคอยร้องทุกข์ต่อเปา เจิ่งเสมอ


เปา เจิ่งไม่เคยรับของขวัญใด ๆ เลยแม้จะเป็นชิ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาและความไม่เหมาะสมต่าง ๆ


เปา เจิ่งมีหลักในการปฏิบัติราชการว่า "จิตใจสะอาดบริสุทธิ์คือหลักแก้ไขปัญหามูลฐาน ความเที่ยงตรงเป็นหลักในการดำเนินชีวิต จงจดจำบทเรียนในประวัติศาสตร์ไว้ และอย่าให้คนรุ่นหลังเย้ยหยันได้"


ด้านความเป็นอยู่ส่วนตัวและอัธยาศัยนั้น ประวัติศาสตร์จีนบันทึกไว้ว่า เปา เจิ่งเป็นคนตรงไปตรงมา รังเกียจข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง และกดขี่ขูดรีดประชาชน แม้จะเกลียดคนเลวแต่ก็มิใช่เป็นคนดุร้าย เปา เจิ่งเป็นคนซื่อสัตย์และให้อภัยคนทำผิดโดยไม่เจตนา กับทั้งไม่เคยคบคนง่าย ๆ อย่างไร้หลักการ ไม่เสแสร้งทำหน้าชื่นและป้อนคำหวานเพื่อเอาใจคน มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน จึงไม่มีฝักไม่มีฝ่าย แม้ว่ายศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แต่เสื้อผ้า เครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย และอาหารการกินก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อครั้งยังเป็นสามัญชนเลย


การที่เปา เจิ่งได้รับยกย่องว่าเป็นประดุจเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมทำให้ชาวจีนเชื่อว่า เปา เจิ่งนั้นกลางวันตัดสินคดีความในมนุษยโลก กลางคืนไปตัดสินคดีความในยมโลก