Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553


พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้คำจำกัดความของ “ผี” ว่าคือ สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือเทวดาก็ได้ ส่วน “วิญญาณ” หมายถึง สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่

ด้วยเหตุที่ “ผี” เป็นสิ่งที่ยากจะบอกได้ถึงรูปพรรณสัณฐานที่แน่นอน มีความลึกลับ ขึ้นกับความเชื่อ และจินตนาการ จึงถูกหยิบยกมาขู่เด็กอยู่เสมอ จนทำให้บางคนแม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกกลัวผีก็ยังมีอยู่ หนัง/ละครหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นของไทย หรือต่างประเทศ ต่างก็สร้างสรรค์ “ผี” ออกมาในรูปแบบต่างๆมีทั้งแนวตลกขบขัน แนวสยองขวัญ น่ากลัว หรือแม้แต่แนวรักโรแมนติก ที่ฮิตๆอมตะสร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ได้แก่ พวกแดร็กคิวร่า แฟรงเก็นสไตน์ แวมไพร์ม ส่วนไทยก็มี แม่นาคพระโขนง ผีปอบ ผีกระสือ ผีกระหัง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ผีที่เราเห็นในหนังหรือละครนับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผีทั้งหลายที่ยังมีอีกหลากหลายในไทย ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอแนะนำ “ผีไทย” ในแบบอื่นๆให้รู้จักกันบ้าง โดยทั่วไป คนไทยแต่เดิมได้แบ่งผีออกเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ

๑.ผีฟ้า ได้แก่ผีที่อยู่บนฟ้า ซึ่งต่อมาเมื่อเรารับความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มาจากพุทธศาสนา คนไทยภาคกลางจึงเรียกผีที่อยู่บนฟ้าว่า “เทวดา”หรือ “เทพ” และถือว่าเทวดามีหลายองค์ ส่วนคนทางภาคอีสานจะเรียกว่า “แถน”

๒.ผีคนตาย ได้แก่ผีที่เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ผีชนิดนี้มีทั้งผีดีและผีไม่ดี ซึ่งผีดีที่คนนับถือยังแบ่งย่อยเป็นอีก ๓ ระดับ คือ ผีเรือน เป็นผีประจำครอบครัว คนไทยโบราณและชนชาติไทบางกลุ่มเรียกว่า “ผีด้ำ” หมายถึง ผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่าตายายพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ยังสถิตอยู่ในบ้านเรือน เพื่อคอยคุ้มครองและดูแลช่วยเหลือลูกหลาน และลูกหลานจะต้องเซ่นสรวงตามโอกาสอันสมควร ผีบ้าน คือ ผีประจำหมู่บ้าน บางแห่งเรียก”เสื้อบ้าน” ได้แก่ผีที่คอยคุ้มครองและให้ความอนุเคราะห์แก่คนในหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมักจะมีสถานที่สำหรับทำพิธีบูชาบวงสรวง ผีเมือง หรือบางแห่งเรียก”เสื้อเมือง” ได้แก่ วิญญาณของเจ้าเมืององค์ก่อนๆหรือวีรบุรุษของกลุ่มชน คอยคุ้มครองและให้ความอนุเคราะห์ดูแลคนทั้งเมืองหรือรัฐ บางแห่งก็เรียก “เทพารักษ์” และมักมีการสร้างศาลให้เป็นที่สถิต

๓.ผีไม่ปรากฎรายละเอียดในด้านความเป็นมา ได้แก่ ผีที่ประจำอยู่กับสิ่งต่างๆที่มีในธรรมชาติ เช่น ผีป่า ผีเขา ผีน้ำ ผีประจำต้นไม้ เป็นต้น ผีดังกล่าวให้คุณและโทษได้ จึงต้องเซ่นสรวงให้ถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์

นอกจากนี้ ยังมีผีตามสภาพที่ปรากฏ เช่น บอกสภาพการตาย ได้แก่ ผีตายโหง ผีหัวกุด ผีตายทั้งกลม เป็นต้น ต่อไปนี้จะขอแนะนำผีแต่ละจำพวกให้ได้รู้จักกัน ดังนี้

ผียอดนิยมซึ่งเป็นที่รู้จักและมักถูกนำมาสร้างหนัง/ละครบ่อยๆ ได้แก่ ผีกระสือ คือผีที่เข้าสิงในตัวผู้หญิง และชอบกินของโสโครก คู่กับผีกระหัง ที่ชอบเข้าสิงผู้ชาย เชื่อกันว่าผีกระหังเป็นผู้ชายที่เรียนวิชาอาคม เมื่อแก่กล้าก็มีปีกมีหาง จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างปีก สากตำข้าวต่างขา สากกะเบือ ต่างหาง ชอบกินของโสโครกเช่นเดียวกับกระสือ ผีปอบ คือ ผีที่สิงอยู่ในตัวคน พอกินตับไต้ไส้พุงหมดแล้วก็จะออกไปและคนๆนั้นก็จะตาย ผีดิบ คือ ผีที่ยังไม่ได้เผา หรือผีดูดเลือด ผีตายทั้งกลม คือ หญิงที่ตายในขณะที่ลูกอยู่ในท้อง ผีตายโหง คือ คนที่ตายผิดธรรมดา เช่น ถูกฆ่าตาย ตกน้ำตายหรือตายด้วยอุบัติเหตุ ผีพราย หมายถึงหญิงที่ตายอันเนื่องมาจากคลอดลูกหรือตายในขณะที่ลูกเกิดมาได้ไม่นาน เชื่อกันว่าวิญญาณหญิงดังกล่าวจะมีความร้ายกาจมาก ส่วนผีพราย อีกประเภทหนึ่ง คือคนแก่ที่ป่วยไข้ออดแอดจนไม่มีกำลังต้องนอนซมอยู่เสมอ แต่พอคนอื่นไม่อยู่หรือเผลอ คนแก่นั้นก็เปลี่ยนไป ดวงตากลับวาวโรจน์และมีเรี่ยวแรงลุกไปหาของกินที่เป็นของสดหรือมีกลิ่นคาว หากมีใครมาพบก็จะทำท่าหมดแรงต้องนอนซมเหมือนเดิม บางแห่งก็ว่าผีพรายสามารถจำแลงกายเป็นสัตว์ต่างๆได้ โดยเฉพาะนกเค้าแมว หากบ้านไหนมีคนป่วยและมีนกเค้าแมวมาเกาะ จะเชื่อกันว่าผีพรายแปลงกายมาซ้ำเติมคนป่วยให้ตายโดยเร็ว ส่วนผีที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มข้างต้นแต่ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไรก็ได้แก่ ผีโพง และ ผีเป้า คือผีที่ชอบกินของสด ของคาว เช่น เลือดสด และสิงในคนได้ บ้างก็ว่าผีโพงสิงคนแล้ว จะทำให้มีแสงสว่างออกมาทางจมูกเวลาหายใจและชอบหากินเวลากลางคืน ผีโขมด เป็นพวกเดียวกับผีกระสือหรือผีโพง เห็นเป็นแสงเรืองวาวในเวลากลางคืน ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าคนถือไฟอยู่ข้างหน้า ผีกองกอย คือ ผีชนิดหนึ่งที่มีตีนเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า จึงต้องเดินเขย่งเกงกอย ชอบออกมาดูดเลือดที่หัวแม่เท้าของคนที่นอนหลับพักแรมในป่า

สำหรับผีที่ให้คุณก็มี ผีขุนน้ำ คือ อารักษ์ประจำต้นน้ำแต่ละสาย ซึ่งสถิตอยู่บนดอยสูง ผีขุนน้ำมักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านจะอัญเชิญมาสถิตที่หอผีที่ปลูกอย่างค่อนข้างถาวรใต้ต้นไม้เหล่านี้ ผีขุนน้ำที่อยู่ต้นแม่น้ำใด ก็มักจะได้ชื่อตามแม่น้ำนั้น เช่น ขุนลาว เป็นผีอยู่ต้นแม่น้ำลาว ในจ.เชียงราย ผีมด และ ผีเมง คือ ผีบรรพบุรุษตามความเชื่อชาวล้านนา ( คำว่า “มด” หมายถึงระวังรักษา) ส่วนผีเมงนี้เข้าใจกันว่ารับมาจากชนเผ่าเม็งหรือมอญโบราณ ผีเจ้าที่ คือผีที่รักษาประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นผู้ดูแลรักษาเขตนั้นๆ ดังนั้น คนโบราณเมื่อเดินทางและหยุดพักที่ใด มักจะบอกขออนุญาตเจ้าที่ทุกครั้ง ผีเจ้านาย คือ ผีที่มาประทับทรงเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆของชาวบ้านชาวเมือง แต่มิใช่เสื้อบ้าน เสื้อเมืองหรือผีปู่ย่าตายาย ผีย่าหม้อหนึ้ง เป็นผีจำพวกผีเรือนสถิตอยู่กับหม้อที่ใช้นึ่งข้าว เมื่อใครจะเดินทางไกลก็นำข้าวเหนียวหนึ่งปั้นและกล้วยหนึ่งผลไปสังเวยบอกกล่าวผีย่าหม้อหนึ้งเพื่อให้คุ้มครอง หรือหากลูกหลานไม่สบายร้องไห้โยเยกลางคืน ชาวบ้านก็มักไปเอายาจากผีย่าหม้อหนึ้งโดยขูดเอาดินหม้อที่ติดกับหม้อไปผสมน้ำให้ลูกอ่อนกิน นอกจากดูแลคุ้มครองทรัพย์สินในครัวเรือนแล้ว ยังมีอำนาจในการพยากรณ์ได้ด้วย ซึ่งการลงผีย่าหม้อหนึ้งนี้มักทำเมื่อบุตรหลานไม่สบายหรือของหาย

นอกเหนือไปจากผีดังกล่าวแล้ว ในแต่ละท้องถิ่นยังมีผีอีกหลายประเภท ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อาทิ ผีกละ หรือ ผีกะเป็นผีที่มักเข้าสิงคนเพื่อเรียกร้องจะกินอาหาร เมื่อเข้าสิงใคร ก็จะแสดงกิริยาผิดปกติไป เมื่อคนสังเกตเห็นก็มักร้องขอกินอาหารและจะกินอย่างตะกละตะกลาม จึงเรียกผีกละตามลักษณะการกิน แต่มักเขียนเป็นผีกะ ผีกละยักษ์ เป็นผีที่อยู่รักษาสถานที่ต่างๆ เช่น วัดร้าง ถ้ำ หรือที่ซึ่งมีสมบัติฝังหรือซ่อนอยู่ ผีกละยักษ์จะคอยพิทักษ์สมบัติเหล่านั้น จนกว่าเจ้าของจะรับทรัพย์สินเหล่านั้นไป ในกรณีผีกละยักษ์ที่อยู่ในวัด เล่ากันว่า มักจะเป็นวิญญาณของพระหรือเจ้าอาวาสที่ผิดวินัย เมื่อตายแล้วไปเกิดไม่ได้ จึงต้องทำหน้าที่พิทักษ์วัดไปจนกว่าจะสิ้นกรรม รูปร่างของผีกละยักษ์ ไม่แน่นอน บ้างก็ว่าเป็นหมูตัวใหญ่ที่มีร่างกายเป็นทองแดง บ้างก็ว่าเป็นสุนัขใหญ่สีดำสนิททั้งตัว ผีตามอย (อ่านว่า ผี-ต๋า-มอย) หมายถึงผี ๒ ชนิด ชนิดแรกเป็นผีที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีคน ผีชนิดนี้จะคอยมาเลียก้นคนที่ไปถ่ายอุจจาระ เพราะคนสมัยก่อนมักไปถ่ายตามขอนไม้ เมื่อถ่ายเสร็จก็จะใช้ไม้แก้งขี้ปาดไปตามร่องก้นให้สะอาด ถ้าแก้งขี้ไม่สะอาดก็จะถูกผีตามอยมาเลียก้น ทำให้เจ็บไข้ได้ วิธีแก้คือให้เอาดุ้นไฟสุดหรือไม้ที่เหลือจากไฟไหม้แล้วมาแก้งขี้เสีย (แก้ง-หมายถึงขูดให้สะอาด) ผีตามอย อีกชนิด เป็นผีที่คอยจับเอาหนุ่มหรือสาววัยรุ่นที่แตกกลุ่มเพื่อนที่เข้าไปในป่าหรือในดง นำไปมีเพศสัมพันธ์กับตน โดยคนที่ถูกกุมไปมักมีสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ผีโป่ง เป็นผีที่อยู่ตามโป่งซึ่งอาจเป็นโป่งดิน คือบริเวณที่มีดินเค็มซึ่งสัตว์มักไปแทะกิน หรือโป่งน้ำ คือที่มีน้ำผุดออกมาจากดิน ผู้ที่ไปสู่บริเวณโป่ง หากไม่สำรวมอาจจะถูกผีโป่งทำร้าย ทำให้เจ็บปวดที่เท้าหรือขา หรืออาจมีอาการเจ็บไข้รักษาไม่หาย

นอกจากผีลักษณะต่างๆตามที่กล่าวมาแล้ว เรายังมีทั้งการละเล่น สำนวน ช่วงเวลา กิริยาอาการและคำหลายคำที่เกี่ยวกับผี เช่น ผีด้งหรือผีนางด้ง เป็นผีที่หนุ่มสาวในท้องที่จะเชิญมาเล่นตามลานบ้านช่วงสงกรานต์ ผีถ้วยแก้ว เป็นการเล่นทรงเจ้าเข้าผีโดยผู้เล่นเอานิ้วแตะก้นแก้วให้เคลื่อนไปตามตัวอักษรเพื่อสื่อความหมาย ผีถึงป่าช้า หมายถึงจำใจทำเพราะไม่มีทางเลือก ผีบุญ คือ ผู้อวดคุณวิเศษว่ามีฤทธิ์ทำได้ต่างๆนานา ผีบ้านไม่ดี ผีป่าก็พลอย หมายถึง คนในบ้านเป็นใจให้คนนอกบ้านเข้ามาทำความเสียหายได้ ผีซ้ำด้ำพลอย คือ ถูกซ้ำเติมเมื่อพลาดพลั้งหรือเมื่อคราวเคราะห์ร้าย ผีอำ คือ อาการที่ปรากฏเมื่อเวลานอนเคลิ้มไปว่ามีคนมาปลุกปล้ำหรือยึดคร่า ทำให้มีอาการเหนื่อยหอบจนตื่นขึ้น บางคนก็เรียก ผีทับ จะมีอาการอึดอัด พูดจาไม่ได้ ลุกไม่ได้ ผีผลัก คืออุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บหรือล้มตาย เนื่องจากใช้ของแหลมมาจี้ใส่กันเป็นเชิงล้อเล่น ผีเจาะปาก หมายถึงมีปากก็สักแต่พูดเรื่อยเปื่อย พูดไม่มีสาระ ผีพุ่งไต้ หมายถึงดาวตก ผีตากผ้าอ้อม หมายถึง แสงแดดที่สะท้อนกลับมาสว่างในเวลาเย็นจวนค่ำ มีสีส้มอมเหลือง ผีขนุน หมายถึงหญิงขายบริการตามต้นขนุนริมคลองหลอด กรุงเทพฯ ผีเพลีย คือดิถีวันห้าม ไม่ให้แรกนา ฯลฯ (ดิถี คือการนับวันตามจันทรคติ เช่น ขึ้น ๑ ค่ำ แรม ๒ ค่ำ เป็นต้น)

ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น แม้จะเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องผีๆ แต่เชื่อว่าคงจะทำให้ท่านได้รู้จัก “ผีของไทย”มาก ยิ่งขึ้น

..................................................

อมรรัตน์ เทพกำปนาท

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
ข้อมูลจากสารานุกรมไทย /พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานและฉบับมติชน

ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
http://www.culture.go.th/knowledge/study.php?&YY=2547&MM=12&DD=2
ที่มาภาพ :
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREU1TVRFMU1nPT0=

พระจันทร์ : ความเชื่อ ตำนาน เล่าขานสู่ประเพณี “ไหว้พระจันทร์”




แม้ว่า “ดวงจันทร์” จะเป็นดินแดนนอกโลกแห่งเดียวที่มนุษย์ได้เดินทางไปสำรวจมาแล้ว แต่ดวงจันทร์ก็ยังมีความลี้ลับที่ทำให้เกิดความเชื่อ ตำนาน บทเพลง และเรื่องราวต่างๆมากมาย อันชวนให้มนุษย์ต้องไปค้นคว้า ไขว่หาดังต้องมนต์นับแต่อดีตมาจนปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จะขอนำบางส่วนมาเล่าต่อ ดังนี้

ในระบบสุริยจักรวาล ที่โลกเราอยู่นี้ ดวงจันทร์ หรือที่ชาวโรมันเรียกว่า “ลูน่าร์” และชาวกรีกเรียกว่า “เซเลเน่” หรือ “อาร์เทมิส” เป็นเทหวัตถุ(ก้อน/ชิ้นหรือส่วนหนึ่งของสสาร ที่อาจเป็นของแข็ง ของเหลวหรือแก๊สก็ได้) ที่สว่างเป็นที่สองรองจากดวงอาทิตย์ เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างในตนเองเช่นเดียวกับ ดาวพุธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร แต่ได้รับแสงสะท้อนมาจากดวงอาทิตย์ และเป็นบริวารดวงเดียวของโลก ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด ดวงจันทร์โคจรรอบโลกครั้งหนึ่งใช้เวลา ๒๙.๕ วัน ซึ่งการหมุนรอบโลกและดวงอาทิตย์นี้ทำให้มุมเปลี่ยนไปเราจึงเห็นดวงจันทร์เต็มดวงบ้าง เป็นเสี้ยวบ้าง กำเนิดของดวงจันทร์มีสมมติฐานหลายอย่าง บ้างก็ว่าโลกและดวงจันทร์เกิดพร้อมๆกันจากกลุ่มก้อนก๊าซมหึมาของเนบิวลาต้นกำเนิดระบบสุริยะ บ้างก็ว่าดวงจันทร์แตกตัวออกจากโลก ขณะที่โลกเริ่มก่อรูปร่างขึ้นทำให้มีการหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว มวลสารบางส่วนจึงหลุดอกมาเป็นดวงจันทร์ เป็นต้น พื้นผิวดวงจันทร์จะมี ๒ ลักษณะคือ เป็นเทือกเขาเก่าแก่ เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาต และบริเวณที่ราบเรียบที่มีอายุน้อยกว่า เรียกว่า “ทะเล”(Maria) ซึ่งมิใช่ทะเลจริง แต่สันนิษฐานว่าเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ลาวาไหลท่วมภายหลัง และจะมีเฉพาะด้านที่หันเข้าโลกเท่านั้น ในดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศ เพราะมีแรงโน้มถ่วงต่ำกว่าโลก ๑ ใน ๖ เราถึงเห็นมนุษย์อวกาศเดินตัวลอยไปลอยมาบนดวงจันทร์ แรงโน้มถ่วงระหว่างโลกและดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้น-น้ำลง

ในสมัยก่อนกวีมักจะชมหญิงสาวว่ามีใบหน้างามดุจพระจันทร์วันเพ็ญ สาวได้ยินก็ปลื้ม เพราะรู้ว่าชมแน่นอน แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ สาวใดได้รับคำชมว่าหน้าเหมือนพระจันทร์คงคิดหนัก เพราะตั้งแต่มนุษย์โลกสามารถส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์ เราก็เลยได้รู้ว่าพื้นผิวดวงจันทร์ หาได้สว่างนวล ดูงามอย่างที่เห็นไม่ แต่กลับขรุขระเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมาย เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีสนามแม่เหล็กและบรรยากาศ ทำให้ลมสุริยะจากดวงอาทิตย์พัดกระหน่ำทำลายพื้นผิวตลอด ๔ พันล้านปีที่ผ่านมา

ในตำนานโหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระอิศวรหรือพระศิวะได้สร้างพระจันทร์ขึ้นมาจากนางฟ้า ๑๕ นาง โดยร่ายพระเวทให้นางฟ้าทั้ง ๑๕ นางละเอียดป่นเป็นผงแล้วห่อด้วยผ้าขาว ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระจันทร์เทพบุตรขึ้นมา มีวรกายสีขาวนวล ทรงทิพย์อาภรณ์ มีวิมานที่สถิตเป็นแก้วมุกดา ทรงอัศวราชเป็นพาหนะ สถิต ณ ทิศบูรพา (ตะวันออก) และด้วยเหตุที่พระจันทร์สร้างจากนางฟ้า ๑๕ นางนี้เอง จึงทำให้เป็นเทวะรูปงามที่มีเสน่ห์ยิ่ง และยังมีความเจ้าชู้มากรักอีกด้วย กล่าวกันว่า เทพบุตรองค์นี้นอกจากจะมีมเหสีหลายองค์แล้ว ยังมีชายาที่เป็นธิดาของพระทักษะประชาบดีอีก ๒๗ องค์ด้วย และในบางคัมภีร์ยังมีกล่าวไว้ว่า พระจันทร์ได้ลักลอบเกี้ยวพาชายาของพระพฤหัส และพานางไปเสพสมที่วิมานของตน ทำให้พระพฤหัสกริ้วติดตามไปทวงชายาคืน และก่อให้เกิดเทวะสงครามขึ้น พระพรหมผู้เป็นใหญ่ได้มาห้าม และลงทัณฑ์มิให้พระจันทร์เข้าประชุมเทวสภาอีก ในตำราบางแห่ง ได้พูดถึงการที่พระจันทร์เป็นศัตรูกับพระพฤหัสว่า เกิดจากชาติหนึ่งพฤหัสซึ่งเป็นทิศาปาโมกข์ พ่อนางจันทร์ ได้นำความลับที่จันทร์ลูกสาวเป็นชู้กับอังคาร ไปบอกอาทิตย์ลูกเขย สามีนางจันทร์ ทำให้ถูกจับได้ จันทร์เลยโกรธเกลียดพฤหัส และก็เป็นที่มาของวันคู่มิตรและศัตรูในทางโหราศาสตร์อีกทางหนึ่ง คือ คนเกิดวันจันทร์ จะไม่ถูกกับคนเกิดวันพฤหัส แต่เป็นคู่มิตรกับวันอังคาร

นอกจากนี้ก็ยังมีนิทานเล่าว่า นานมาแล้ว โลกมีพระจันทร์สองดวง เป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ต่อมาพระจันทร์หญิงไปหลงใหลแสงเจิดจ้าของพระอาทิตย์ จึงเลื่อนตัวตามพระอาทิตย์ไปเรื่อยๆจนแยกจากจันทร์ชายในที่สุด เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงเหลือเพียงพระจันทร์ชายเพียงดวงเดียว พระจันทร์ชายได้ออกตามหาพระจันทร์หญิงคืนแล้วคืนเล่า แต่ก็ไม่พบ จึงได้ระเบิดตัวเองออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วจักรวาลเพื่อช่วยกันตามหา ครั้นต่อมาพระจันทร์หญิงได้ประจักษ์ว่าพระอาทิตย์มิได้ส่องแสงเจิดจ้ามาเพียงเธอเท่านั้น แต่ยังส่องไปยังดาวดวงอื่นอีกมากมาย จึงได้กลับมาหาพระจันทร์ชายอีกครั้ง แต่เธอก็ไม่อาจได้พบพระจันทร์ชายได้อีกแล้ว ทำให้เธอเศร้าโศกเสียใจ พระจันทร์ชายจึงพยายามเปล่งแสงที่มีอยู่น้อยนิดให้พระจันทร์หญิงได้เห็น เป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์ จนเกิดเป็นดวงดาวและดวงจันทร์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ เพียงแต่วันไหนคุณเห็นดวงจันทร์สวยสด คุณก็จะไม่เห็นแสงจากดาวดวงเล็กดวงน้อย หรือวันใดที่เราเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เราก็จะไม่เห็นพระจันทร์ เพราะเขาและเธอไม่อาจพบกันตลอดกาล

แม้ในตำราจะบอกว่า พระจันทร์เป็นเทพบุตร แต่ในทางทฤษฎีแพทย์แผนจีน ที่แบ่งสรรพสิ่งในธรรมชาติออกเป็น ๒ ฝ่ายคือหยิน และหยาง พระจันทร์จะถูกจัดให้เป็น ยิน อันหมายถึงผู้หญิง กลางคืน น้ำ และความนิ่งรวมอยู่ด้วย ส่วน หยาง จะได้แก่ พระอาทิตย์ ผู้ชาย ไฟ และความเคลื่อนไหว เป็นต้น ซึ่งในทางโหราศาสตร์ ดาวจันทร์ ยังหมายถึงรูปร่างหน้าตา จริตมารยา ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการ ความอ่อนไหวง่าย ปรับตัวง่าย ถิ่นที่อยู่อาศัย และญาติพี่น้อง รวมถึงเป็นดาวธาตุน้ำ มีสัญลักษณ์เป็นเลข ๒ มีพระพุทธรูปปางประจำวันจันทร์คือ “ปางห้ามญาติ” หรือ “ปางห้ามสมุทร” โดยมีลักษณะต่างกันคือ ปางห้ามญาติจะยกมือขวาขึ้นห้ามเพียงมือเดียว ถ้าเป็นปางห้ามสมุทรจะยกมือทั้งสองขึ้นห้าม ซึ่งการที่ถือพระพุทธรูปปางนี้ประจำวันจันทร์ มีการสันนิษฐานว่า เกิดจากเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์เสด็จไปห้ามพระญาติสองเมืองคือกรุงกบิลพัสดุ์ และเทวทหะมิให้ทะเลาะแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณี ที่ใช้ทำเกษตรร่วมกัน ดังนั้น จึงเกี่ยวพันกันทั้งน้ำและญาติ อันเป็นความหมายและอิทธิพลของดาวจันทร์ จึงใช้พระพุทธรูปปางนี้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อเตือนสติ เช่นเดียวกับปางห้ามสมุทรที่เกี่ยวกับน้ำ อันเป็นเหตุการณ์เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปปราบชฏิลสามพี่น้องซึ่งเป็นนักบวชที่บูชาไฟ และตั้งต้นเป็นใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ได้ทรงแสดงปาฏิหารย์ห้ามลม ห้ามฝน ห้ามพายุน้ำท่วม มิให้มาทำอันตรายพระองค์ได้ จนชฏิลทั้งหลายเกิดเลื่อมใสขอบวชตาม คนโบราณสร้างพระพุทธรูปปางนี้ประจำวันจันทร์เพื่อแก้เคล็ด มิให้เป็นคนหวั่นไหวง่าย และรู้จักหักห้ามใจตนเอง รวมทั้งขจัดปัดเป่าให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ตามลักษณะอาการที่ยกพระหัตถ์ห้ามนั่นเอง นอกจากนี้ในทางพุทธศาสนา เราจะสังเกตเห็นว่าเหตุการณ์สำคัญๆต่างๆก็ล้วนเกิดในคืนวันเพ็ญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน วันมาฆบูชา อาสาฬหบูชา เป็นต้น

ในหนังสยองขวัญต่างๆ เช่น มนุษย์หมาป่า ก็มักกำหนดให้ พระเอกกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง หรือพระจันทร์สีเลือด นอกจากนี้บางแห่งยังมีความเชื่อว่าอิทธิพลของดวงจันทร์ทำให้อะไรเล็กอะไรใหญ่ก็ได้ เช่น ถ้าต้องการปลูกต้นน้ำเต้าให้ผลเล็ก ให้ปลูกตอนเดือนเริ่มหงายใหม่ๆ ถ้าต้องการจะปลูกให้ผลโต ต้องปลูกหลังเดือนเพ็ญไปแล้ว ๓ วัน ซึ่งก็คือข้างแรมนั่นเอง

สำหรับบทเพลงที่เกี่ยวกับ ดวงจันทร์ พระจันทร์ที่เราคุ้นหูตั้งแต่เด็กก็คือ จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า ฯ แล้วก็ยังมีเพลงที่แสดงให้เห็นว่า ผู้แต่งเพลงทั้งหลายผูกพันหรือต้องมนต์ของพระจันทร์อยู่ไม่น้อย เช่น เพลงโสมส่องแสง จันทร์แจ่มฟ้า และลาวดวงเดือน เป็นต้น ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะว่าแสงสกาวสุกใสในคืนวันเพ็ญ ทำให้เกิดความรู้สึกโรแมนติก และมีผลต่อจินตนาการของนักกวี นักแต่งเพลง และนักเขียนซึ่งไม่เฉพาะบ้านเราเท่านั้น แต่เข้าใจว่ามีอยู่ในทุกประเทศด้วย นอกจากนี้ “ดวงจันทร์” ยังมีชื่อเรียกอื่นๆอีก เช่น จันทรา ดวงเดือน แข หรือ โสม เป็นต้น (คำว่า”เพ็ญ” หมายถึง “เต็ม” เช่น คืนเดือนเพ็ญ คือ คืนพระจันทร์เต็มดวง)

เรื่องราวเกี่ยวกับ “พระจันทร์” อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ “ประเพณีไหว้พระจันทร์” ซึ่งตามเอกสารเผยแพร่ของกองวิชาการและแผนงาน เทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ได้กล่าวว่า เป็นประเพณีที่สำคัญประเพณีหนึ่งของชาวจีนที่มีมาแต่โบราณนับร้อยๆปี วันไหว้พระจันทร์จะตรงกับวันที่ ๑๕ เดือน ๘ ของจีน ซึ่งถือกันว่าเป็น วันกลางเดือนของเดือนกลางฤดูใบไม้ร่วง เพราะจีนจะแบ่งวันเวลาออกเป็น ๔ ฤดูคือ ชุง ฤดูใบไม้ผลิ ตรงกับเดือน ๑ ๒ ๓ แห่ คือ ฤดูร้อน ตรงกับเดือน ๔ ๕ ๖ ชิว คือ ฤดูใบไม้ร่วง ตรงกับเดือน ๗ ๘ ๙ และตัง คือฤดูหนาว ตรงกับเดือน ๑๐ ๑๑ และ ๑๒ ของจีน ซึ่งวันสารทกลางเดือนกลางฤดูใบไม้ร่วงดังกล่าว ยังเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ที่เล่ากันว่าจักรพรรดิ์จีนสมัยโบราณจะทำพิธีเซ่นไหว้พระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ และไหว้พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง

การไหว้พระจันทร์ เป็นการไหว้เพื่อรำลึกถึงองค์ไท้อิมเนี้ย เทพผู้ให้ความสุขสงบแก่สรรรพสิ่งในโลก และถือว่าเป็นเทพที่มีพระสิริโฉมงดงามที่สุดองค์หนึ่ง ซึ่งจะเสด็จมาโปรดสัตว์โลกในคืนพระจันทร์เต็มดวงของเดือน ๘ ของสักการะจึงมักเป็นของเสี่ยงทายเพื่อขอให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว นอกจากนี้ วันไหว้พระจันทร์ ยังเกี่ยวกับประวัติศาสาตร์จีน ตอนที่ “จูง่วนเจียง” ผู้นำชาวจีนสมัยนั้นได้นัดแนะชาวจีนขึ้นต่อต้านกษัตริย์ชาติมองโกลที่ยึดครองจีนอยู่ โดยให้แต่ละครอบครัวจัดทำอาวุธ และเอกสารนัดหมายแอบซ่อนไว้ในหรือใต้ขนมโก๋ หรือขนมเปี๊ยะที่มีขนาดใหญ่ โดยแกล้งทำเป็นธรรมเนียมแลกเปลี่ยนขนมระหว่างญาติเพื่อตบตาชาวมองโกล เพราะสมัยก่อนมีกฏหมายห้ามชาวจีนตีเหล็กทำอาวุธ และให้มีมีดใช้ ๕ ครอบครัวต่อหนึ่งเล่ม ซึ่งในหนังสือก็ได้นัดให้ทุกครอบครัวจัดงานไหว้พระจันทร์ด้วยการประดับประดาตกแต่งโต๊ะไหว้ให้สวยงามโดยพร้อมเพรียงกัน และถือเป็นวันดีเดย์ในการยึดอำนาจคืน เมื่อสำเร็จ จูง่วนเจียงได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ นามว่า “พระเจ้าไท้โจวเกาอ่วงตี้”

ในสมัยก่อน ประเพณีวันไหว้พระจันทร์จะเป็นวันที่สาวๆหนุ่มชาวจีนจะได้มีโอกาสออกมาพบปะกันด้วย ทำให้หลายคู่ได้แต่งงานกันเพราะประเพณีนี้ ปัจจุบัน ประเพณีการไหว้พระจันทร์ได้ลดน้อยถอยลงไปมาก นับตั้งแต่สหรัฐฯได้ส่งนีล อาร์มสตรองไปเหยียบดวงจันทร์ เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๒ และประเพณีดังกล่าวก็ได้กลายมาเป็นการไหว้เจ้าแม่กวนอิมด้วยอาหารเจ พร้อมมีการจัดโต๊ะประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงามแทน ซึ่งในปีนี้ “วันไหว้พระจันทร์” ตรงกับวันที่ ๑๘ กันยายน ซึ่งหลายแห่งก็มีการจัดงานตามประเพณีกันอยู่เช่นที่เทศบาลเมืองพนัสนิคม ในจังหวัดชลบุรี

ที่กล่าวข้างต้น คงจะทำให้หลายๆคนได้รู้จัก “พระจันทร์”ที่แสนจะใกล้ชิดเรายิ่งขึ้น และไม่ว่าเราจะมอง “ดวงจันทร์” ที่ไกลจากโลก ๓๘๔,๔๐๐กิโลเมตร อย่างนักดาราศาสตร์ หรือจะเฝ้าชม “จันทรา” ด้วยมนต์สะกดแบบไหน “พระจันทร์” ก็ยังเป็นพระจันทร์ที่ส่องแสงแก่ทุกคนในโลกอย่างเท่าเทียมกัน

..............................................................

อมรรัตน์ เทพกำปนาท

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม.

ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน


· ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล
ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่
· หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่
คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน
· การแต่งกายและความสะอาด
ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี
· วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ
สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล
· บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก
ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
· การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ
ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก
· ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี
ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน



ที่มา : http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/chinesenewyear/index.html

ตำ น า น พ ร ะ บ ร ม ส า รี ริ ก ธ า ตุ







ตำ น า น พ ร ะ บ ร ม ส า รี ริ ก ธ า ตุ

พระบรมสารีริกธาตุ
คือธาตุส่วนต่างๆ ในพระวรกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่กลายเป็นพระธาตุหลังถูกพระเพลิง

ซึ่งแยกชิ้นส่วนเป็นของแข็งคือ กระดูก
ส่วนที่เป็นของอ่อน คือ ส่วนเนื้อหนังและอวัยวะภายในทั้งหมด

ซึ่งกล่าวได้ว่า

“พระวรกายของพระพุทธเจ้าทั้งหมดหลังการถูกพระเพลิง
จะกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุทั้งสิ้น”

พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือที่เรียกเป็นภาษาสามัญว่า “กระดูกของพระพุทธเจ้า”
เป็นพระธาตุที่เกิดขึ้นภายหลังการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ



หลังจากทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ได้มีการจัดการพระศพเยี่ยงพระเจ้าจักรพรรดิทั่วไป
คือพระห่อพระศพด้วยผ้าใหม่ แล้วหุ้มสำลีสลับกัน ๕๐๐ ชั้น
ใส่ลงในรางน้ำมันที่ทำด้วยเหล็ก แล้วปิดด้วยฝาเหล็ก
ตั้งเผาบนไม้หอม เสร็จแล้วจึงนำไปบรรจุในสถูป
ที่สร้างไว้บนทางสี่แพร่งเพื่อเป็นที่สักการบูชาของคนที่มาทั้งสี่ทิศ

แต่ในการถวายพระเพลิงพระศพของพระพุทธเจ้า
ได้จัดสถานที่ให้ประชาชนได้มาถวายบังคม ๗ วัน
ก่อนที่จะอัญเชิญพระศพเข้าพระนคร



เสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระเพลิงติดขึ้นในทันใด
เมื่อพระศพไหม้พระเพลิงดับ
จึงได้มีพิธีรวมพระอัฐิธาตุและพระอังคาร (เถ้าถ่าน)
ไปตั้งสักการะกลางพระนครอีก ๗ วัน

ซึ่งปรากฏว่าหลังพระเพลิงดับ

พระฉวี (หนังกำพร้า) พระมังสะ (เนื้อ) พระจัมมะ (หนัง)
และพระลสิกา (ไขข้อ) และพระนารหุ (เอ็น)

ได้ไหม้และกลายเป็นเถ้าถ่าน

ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า

ภายหลังได้กลายเป็นพระธาตุทั้งสิ้น
นอกจากนี้ผ้าชั้นนอกและผ้าชั้นในคู่หนึ่งไม่ไหม้

ส่วนพระอัฐฺธาตุทั้งปวงนั้นไหม้ทั้งหมด
แต่กลับกลายเป็นเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์
สัณฐานใหญ่เท่าเมล็ดถั่วแตก
สัณฐานกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก
สัณฐานเล็กเท่าเมล็ดผักกาด และเท่าเมล็ดงา



ส่วนที่ยังเป็นชิ้นตามรูปเดิม คือ

พระอุณหิสธาตุ (พระอัฐิหน้าผาก) ๑
พระทาฐธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ๔
พระอักขธาตุ (พระรากขวัญ) ๒
พระทันต์ทั้ง ๓๖ ซี่
พระเกศา พระโลมา และพระขนา

ตามตำนานพบพระบรมสารีริกธาตุมีเพียง ๔ สัณฐาน
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น

แต่ตามความเป็นจริงแล้ว
พระบรมสารีริกธาตุยังมีสัณฐานพิเศษ
นอกเหนือจากที่ตำรากล่าวไว้อีกมากมาย

นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า
พระบรมสารีริกธาตุในส่วนที่มาจากกระดูกนั้น จะสามารถลอยน้ำได้
แต่ต้องค่อยๆ เอาภาชนะช้อนองค์พระธาตุไปวางไว้ในน้ำ
ให้น้ำค่อยๆ รองรับองค์พระธาตุ

ลักษณะการลอยนั้นองค์พระธาตุจะลอยปริ่มน้ำ
กดน้ำจนเป็นแอ่งคล้ายวังน้ำวน
และองค์พระธาตุก็จะอยู่ระดับเดียวกันกับผิวน้ำ
แล้วจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามารวมกัน



พระธาตุของพระอรหันต์ชั้นสูงก็เช่นเดียวกัน
เมื่อพระสาวกได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมชั้นสูง
จิตใจที่บริสุทธิ์หมดซึ่งกิเลส
พลังแห่งการสั่งสมบารมีจะปรากฏให้เห็น
ซึ่งเราเรียกพระธาตุของพระอรหันต์ว่า
“พระอรหันตธาตุ” ซึ่งสามารถลอยน้ำได้เช่นกัน

ความเชื่อเรื่องนางสงกรานต์





ประเพณีสงกรานต์ในล้านนาเรียกกันว่า ปี๋ใหม่เมือง มีวันสำคัญ 3 วัน คือ วันที่ 13 เมษายน เรียกวันว่าสังขานต์ล่อง วันที่ 14 เรียกว่าวันเน่า วันที่ 15 เรียกว่าวันพญาวัน คติความเชื่อโดยทั่วไปเกี่ยวกับวันสงกรานต์มีความคล้ายคลึงกันกับของไทย-ลาว คือพระอาทิตย์โคจรจากราศีมีนไปสู่ราสีเมษ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ในล้านนาไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการตัดหัวยักษ์มาร หรือเศียรพระพรหม ส่วนขบวนแห่นางสงกรานต์ในปัจจุบัน ซึ่งมีเศียรพระพรหมปรากฏอยู่ด้วยนั้น เป็นการรับอิทธิพลมาจากของไทย ซึ่งมีนางสงกรานต์ประจำวันทั้ง 7 ดังนี้

1. วันอาทิตย์ นางทุงษะ
2. วันจันทร์ นางโคราค
3. วันอังคาร นางรากษส
4. วันพุธ นางมณฑา
5. วันพฤหัสบดี นางกิริณี
6. วันศุกร์ นางกิมิทา
7. วันเสาร์ นางมโหทร

สำหรับปีใหม่ของล้านนานั้น มีนางสงกรานต์ ดังนี้

1. วันอาทิตย์ นางธัมมสิริ
2. วันจันทร์ นางมโหสถา
3. วันอังคาร นางสุนันทา
4. วันพุธ นางคิรินันทา
5. วันพฤหัสบดี นางกัญญา
6. วันศุกร์ นางลิตา
7. วันเสาร์ นางตโปตา



ในเอกสารใบลานเรื่องหนังสือปีใหม่ ฉบับวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ได้กล่าวถึงนางสงกรานต์ทั้ง 7 และคำทำนาย ซึ่งแปลเป็น ไทยได้ ดังนี้

วันอาทิตย์ ขุนสงกรานต์ขี่นาค มือหนึ่งถือปืน มือหนึ่งถือค้อน มาจากทิศตะวันออกไปตะวันตก นางผู้ชื่อธัมมสิรินั่งรับเอา ลุกยืน ไป ปีนี้ศึกสงครามและแมลงบ้งจักมีมากนักแล ฝนหัวปี กลางปี ปลายปีดี วัวควายจักตายมากนัก พยาธิโรคาจักมีมากนัก คนผู้มีข้าว ของจักฉิบหาย ไม้ยางขาวหลวงเป็นเจ้าแก่ไม้ทังหลาย ขวัญข้าวอยู่ไม้ไผ่แล คนเกิดวันอังคารจักมีเคราะห์ คนเกิดวันเสาร์จักมีลาภ

วันจันทร์ ขุนสงกรานต์ขี่ครุฑ มาจากทิศอีสานไปทางตะวันตกเฉียงใต้ มือหนึ่งถือหอก มือหนึ่งถือขอช้าง นางผู้ชื่อมโหสถา นั่งรับเอา ในปีนี้งูจักออก ฝนหัวปี กลางปีดี พยาธิโรคาของคนมีมากนัก ไม้ผักกุ่มเป็นเจ้าแก่ไม้ทั้งหลาย ขวัญข้าวอยู่ไม้เดื่อ คนเกิด วันพฤหัสบดีจักมีเคราะห์ ให้สะเดาะเคราะห์เสีย คนเกิดวันพุธมีลาภ

วันอังคาร ขุนสงกรานต์ขี่ผียักษ์ มาจากทิศเหนือไปทิศใต้ นางผู้ชื่อสุนันทานอนรับเอา ปีนี้สัตว์มีปีกจักแพง ฝนหัวปี ปลายปี มีมาก กลางปีไม่มี ข้าวในนาจักลีบ ไม้พิมานเป็นเจ้าแก่ไม้ ขวัญข้าวอยู่ไม้อ้อช้าง คนเกิดวันอาทิตย์จักมีเคราะห์ใหญ่ ให้บูชาธาตุเจดีย์ เสีย คนเกิดวันศุกร์จะมีลาภ

วันพุธ ขุนสงกรานต์ขี่ควายไป มือหนึ่งถือดอกไม้ มือหนึ่งถือดาบ มาจากทิศตะวันออกไปตะวันตก นางผู้ชื่อคิรินันทานั่งคู้เข่า รับเอา ปีนี้สัตว์สี่ตีนจักแพง ฝนหัวปี กลางปีไม่มี ปลายปีจักมีมากนักแล ปีนี้ภิกษุสังฆะกับชีปะขาว รวมทั้งขุนนางจะตกต่ำ ไม้ซะเลียม เป็นเจ้าแก่ไม้ ขวัญข้าวอยู่ไม้ข่อย คนเกิดวันศุกร์จักมีเคราะห์ คนเกิดวันจันทร์ และวันเสาร์จักมีลาภ

วันพฤหัสบดี ขุนสงกรานต์ขี่ม้า มือหนึ่งถือหม้อน้ำ มือหนึ่งถือพัด มาจากทิศตะวันตกไปตะวันออก นางผู้ชื่อกัญญานั่งคู้เข่า รับเอา ในปีนี้ช้างม้าจักตาย ฝนหัวปี กลางปี ปลายปีมีเสมอกัน ปีนี้ขุนนางผู้ใหญ่และปุโรหิตรวมทั้งภิกษุสงฆ์จะมีทุกข์ คนเดินทาง จักมีเคราะห์ใหญ่ ไม้ตะเคียนหลวงเป็นเจ้าแก่ไม้ทั้งหลาย ขวัญข้าวอยู่ต้นมะพร้าว คนเกิดวันอาทิตย์จักมีลาภ คนเกิดวันจันทร์ จักมีเคราะห์ ให้บูชาธาตุเจดีย์เสีย


วันศุกร์ ขุนสงกรานต์ขี่วัว มือหนึ่งถือขวาน มือหนึ่งถือค้อน มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ นางผู้ชื่อ ลิตา นั่งรับเอา ในปีนี้พระพุทธรูปจะมีฤทธิ์ ฝนหัวปีไม่มี ผู้หญิงทั้งหลายจักถูกเคราะห์ ขวัญข้าวอยู่ไม้พุทรา คนเกิดวันอังคารจักมีลาภ อยู่สุขสบายดี คนเกิดวันศุกร์จักมีเคราะห์ ให้บูชาธาตุเจดีย์แล้วล้างศีรษะเสีย

วันเสาร์ ขุนสงกรานต์ขี่ปราสาทลงมา มือหนึ่งถือขวาน มือหนึ่งถือค้อนเหล็ก มาจากทิศอีสานไปทางตะวันตกเฉียงใต้ นางผู้ชื่อ ตโปตานั่งเหยียดเท้ารับเอา ปีนี้ไฟจักไหม้บ้านเมือง ให้ระวัง ฝนบางทีก็ตก บางทีก็ไม่ตก แมลงบ้งจักมีมากนัก คนเกิดวันอาทิตย์จะ มีลาภ อยู่สุขสบายดี คนเกิดวันศุกร์จะมีเคราะห์
ที่มา : http://www.sri.cmu.ac.th

พระพิฆเณศวร์ : เทพผู้ประทานความสำเร็จ


พระพิฆเณศวร์ : เทพผู้ประทานความสำเร็จ


แม้ว่าอดีตที่ผ่านมา คนไทยจะรู้จักและเคารพนับถือเทพอยู่หลายองค์ เช่น เจ้าแม่กวนอิม พระแม่อุมา พระศิวะ พระพรหม และพระนารายณ์ เป็นต้น แต่ปีสองปีที่แล้ว เทพที่มาแรงแซงโค้ง เห็นทีจะไม่มีองค์ใดดังเกินท่านพ่อจตุคามรามเทพ เพราะความนิยมในตัวท่าน ก่อให้เกิดกระแส “จตุคามรามเทพฟีเวอร์” ขึ้นทั่วประเทศ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องมีองค์ท่านอย่างน้อยรุ่นใดรุ่นหนึ่ง เพราะชื่อแต่ละรุ่นล้วนชวนให้สะสมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นโคตรเศรษฐี รุ่นเศรษฐีทวีทรัพย์ รุ่นมั่งมีศรีสุข ฯลฯ เรียกว่าแค่มีไว้ จะรวยจริงหรือไม่ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นอักโข

แต่สำหรับปีชวดหรือปีหนูนี้ เทพที่กำลังเป็นที่นิยมและต้องหาไว้บูชาเป็นพิเศษคือพระพิฆเณศวร์ หลายคนคงสงสัยว่า ทำไม? เพราะอันที่จริง พระพิฆเณศวร์ท่านก็ดังแบบอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลอยู่แล้ว คือเป็นเทพอันดับต้นๆที่คนทั่วไปให้ความเคารพบูชาเสมอมา แล้วทำไมปีนี้จึงต้องบูชาเป็นพิเศษ คำตอบก็เพราะ ท่านเป็นเทพที่มี “หนู”เป็นพาหนะผู้คนจึงเชื่อว่า ถ้าบูชาท่าน ก็อาจช่วยให้ “หนู” ซึ่งเป็นลูกน้องของท่านและเป็นสัญลักษณ์ของปี ๒๕๕๑ นี้ไม่เที่ยวอาละวาด ทำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเขา และยังอาจนำโชคลาภวาสนามาให้อีกด้วย

ดังนั้น เพื่อให้เป็นความรู้ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำตำนานและเรื่องราวเกี่ยวกับเทพองค์นี้มาเสนอให้ทราบดังนี้

พระพิฆเณศวร์ หรือบางแห่งก็เขียน พระพิฆเนศ หรือ พระคเณศ เป็นเทพองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู ซึ่งคนไทยรู้จักกันดี ด้วยเชื่อว่าท่านเป็นเทพแห่งศิลปะความรู้ และความสำเร็จทั้งมวล ถ้าใครบูชาท่าน ท่านก็จะช่วยขจัดปัดเป่าอุปสรรค ข้อขัดข้องต่างๆให้ รวมทั้งอำนวยความสำเร็จให้แก่กิจการทั้งหลายทั้งปวงด้วย คนจึงนิยมกราบไหว้ท่านก่อนที่จะกระทำการใดๆ

สำหรับรูปกายของท่าน หลายๆคนคงจะคุ้นกันดี เพราะท่านจะมีหุ่นคล้ายๆกับพระสังกัจจายย์บ้านเรา คือทรงตุ้ยนุ้ย อ้วนพุงพลุ้ย และแทนที่จะมีหัวเป็นคน ท่านกลับมีเศียร(หัว)เป็นช้าง มีกร(มือ) ๔บ้าง ๖บ้าง ๘บ้าง สุดแล้วแต่จะเสด็จมาปางใด ซึ่งในเชิงปรัชญาเขาบอกว่า ร่างกายแต่ละส่วนของท่านล้วนมีความหมายในทางมงคลทั้งสิ้น นั่นคือ พระเศียร ที่เป็นหัวช้าง จะเป็นเศียรที่ใหญ่ จึงหมายถึง สมองที่เต็มไปด้วยปัญญาความรู้ พระกรรณ (หู) ที่กว้างใหญ่ หมายถึง การได้รับฟังคำสวดจากคัมภีร์หรือความรู้อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งเบื้องต้นของการศึกษาเล่าเรียน หรือพูดง่ายๆว่าฟังมาก ก็รู้มาก ส่วน งา ที่มีเพียงข้างเดียวและอีกข้างหักนั้น มีนัยแสดงให้รู้ว่าคนเรามักต้องอยู่ระหว่างความดี-ความชั่วอยู่เสมอ จึงต้องรู้จักแยกแยะ ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงความแตกต่างนั้น เช่นเดียวกับ งวงช้างที่อยู่ตรงกลาง ที่ใช้ชั่งน้ำหนักต่อการกระทำหรือค้นหาสิ่งที่ดีงามโดยใช้ปัญญาเลือกเฟ้นไม่ว่าจะเป็นความผิด-ความถูก ความดี-ความชั่ว และหนู พาหนะที่ท่านขี่มา หมายถึง ความปรารถนาของมนุษย์ ตรงนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย เพราะเป็นความคิดเชิงปรัชญา เลยต้องคิดให้ลึกซึ้งกว่าปกติ

โดยทั่วไป เราจะพบเห็นรูปพระพิฆเณศวร์ มี ๑ เศียร ๔ กร แต่จริงๆแล้วท่านมีหลายปางมาก บางประเทศอย่างอินเดียหรือเนปาล พระพิฆเณศวร์จะมีถึง ๕ เศียร ส่วนพระกรหรือมือ จะมีตั้งแต่ ๒ กรไปจนถึง ๑๐ กว่ากรขึ้นไป โดยแต่ละหัตถ์หรือมือของท่านก็จะถือสิ่งของแตกต่างกันไป มีทั้งที่เป็นขนม ผลไม้ อาวุธ และสิ่งมงคลต่างๆ เช่น ขนมโมทกะ (เป็นข้าวสุกผสมน้ำตาลปั้นเป็นลูก)ผลทับทิม ลูกหว้า งาหัก ขวาน ตรีศูล สังข์ แก้วจินดามณี เป็นต้น ส่วนท่าทางนั้น เดิมจะอยู่ในรูปยืนเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาก็พัฒนาเป็นท่านั่ง ซึ่งจะมี ๔ ลักษณะด้วยกัน คือ ๑.ท่าเข่าข้างหนึ่งยกขึ้น อีกข้างงอพับบนอาสนะ(ที่นั่ง) ๒.ท่านั่งขาไขว้กัน ๓.ท่านั่งห้อยพระบาทข้างใดข้างหนึ่ง และอีกข้างพับอยู่บนอาสนะ ๔.ท่านั่งโดยขาทั้งสองข้างพับอยู่ด้านหน้า ฝ่าเท้าทั้งสองอยู่ชิดติดกัน

การที่มีจำนวนพระเศียร และสัญลักษณ์ที่ถือในมือ ตลอดจนลักษณะท่าทางที่ปรากฎเป็นปางที่ไม่เหมือนกันนั้น ก็เพราะความเชื่อที่ว่า แต่ละปางก็จะให้คุณที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น
-ปางพาลคเณศ จะเป็นรูปพระคเณศตอนเด็ก อยู่ในท่าคลานหรืออิริยาบถไร้เดียงสาแบบเด็ก ถ้าโตหน่อยก็จะเป็นรูปนั่งขัดสมาธิบนดอกบัว มี ๔ กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งปางนี้หมายถึง ความมีสุขภาพดีของเด็กๆในครอบครัว จึงนิยมบูชาในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน
-ปางนารทคเณศ เป็นปางที่อยู่ในท่ายืน มี ๔ กร ถือคัมภีร์ หม้อน้ำ ไม้เท้า และร่ม หมายถึงการเดินทางไกลไปศึกเล่าเรียน ปางนี้เขาว่าเหมาะกับคนที่มีอาชีพเป็นครูบาอาจารย์
-ปางมหาวีระคเณศ เป็นปางที่มีมือมากเป็นพิเศษอาจจะ ๑๒-๑๖ กรเลยทีเดียว และแต่ละพระหัตถ์ก็ถืออาวุธต่างๆกัน เช่น ตะบอง หอก ตรีศูล คันธนู ฯลฯ ปางนี้เป็นปางออกศึกเพื่อปราบศัตรู จึงเหมาะกับพวกทหาร ตำรวจ และข้าราชการ
-ปางสัมปทายะคเณศ เป็นปางที่เราพบเห็นกันบ่อย คือ มี ๔ กร ถืออาวุธอยู่สองหัตถ์บน เช่น ขวานหรือตรีศูล ที่ทรงใช้ทำลายสิ่งชั่วร้าย และคอยขับไล่อุปสรรค อีกพระหัตถ์ถือบ่วงบาศ หมายถึง บ่วงที่ทรงใช้ลากจูงให้คนทั้งหลายเดินตามรอยพระบาทของท่านหรือใช้ขจัดศัตรู หัตถ์ล่างจะถือขนมโมทกะ ท่านถือไว้เพื่อประทานเป็นรางวัลแก่ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทของท่าน ส่วนหัตถ์ขวาล่างทำท่าประทานพร หมายถึง ทรงประทานความผาสุกและความสำเร็จให้แก่สาวกของท่าน หรือบางที่ก็ถืองาที่หัก

อ้อ! มีบางคนอาจสงสัยเกี่ยวกับงูที่พันรอบพุงท่านว่ามาจากไหน เขาก็มีเรื่องเล่าขำๆว่า วันหนึ่งหลังเสด็จกลับจากงานเลี้ยง กำลังขี่หนูเพลินๆ ก็ดันมีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยผ่านหน้า หนูตกใจเลยทำท่านหล่นลงมาท้องแตก ด้วยความเสียดายขนมต้มที่ทะลักออกมา (เพราะเสวยเข้าไปมาก) ท่านจึงเอาขนมยัดกลับไปในพุงใหม่ แล้วเอางูตัวแสบตัวนั้นมารัดพุงเสีย เจ้ากรรม ! สิ่งที่ท่านทำ พระจันทร์มาเห็นเข้า ก็ขำกลิ้ง ท่านคงโกรธและอาย เลยเอางาขว้างไปติดพระจันทร์จนแน่น ทำให้โลกมืดไปในทันใด ทวยเทพที่ทราบเรื่อง ก็เลยพากันไปอ้อนวอนขอโทษแทน ท่านใจอ่อนก็ยอมถอนเอางาออก แต่คงยังไม่หายเคือง จึงให้พระจันทร์ต้องรับโทษ ด้วยการต้องเว้าๆแหว่งๆไม่เต็มดวงทุกคืน ยกเว้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำและแรม ๑ ค่ำ นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่เราเห็นพระจันทร์เป็นเสี้ยวอยู่บนท้องฟ้าแทบทุกค่ำคืน

ได้รู้จักรูปลักษณ์ของท่านแล้ว คราวนี้มาถึงชาติกำเนิดกันบ้าง เขาว่ามีอยู่สองสามตำนาน ได้แก่
ตำนานแรก เล่าว่าวันหนึ่งพระนางปารวตีหรือพระแม่อุมา เมียพระศิวะทรงสรงน้ำ อาบไปอาบมา ถูกขี้ไคลไปด้วย ก็นึกขึ้นได้ว่าพระสหายเคยแนะนำให้หาบริวารเป็นของตนเองบ้าง จะได้ไม่ต้องพึ่งพาแต่บริวารของพระสวามี คิดได้ดังนั้นแล้ว พระนางก็เลยนำเอาเหงื่อไคลมาปั้นเป็นหนุ่มรูปงาม แล้วสั่งให้ไปเฝ้าประตู ห้ามใครเข้ามารบกวน ถ้าไม่ได้อนุญาต หนุ่มน้อยที่ว่าก็ทำหน้าที่นายทวารบาลอย่างดีเยี่ยม จนมาวันหนึ่งพระศิวะเกิดคิดถึงพระนางปารวตี จึงเสด็จมาหา เจ้าหนุ่มไม่รู้จักว่าทรงเป็นพระบิดา ก็เข้าขัดขวางมิให้พบพระมารดา พระศิวะจึงทรงกริ้ว และคงบวกกับลมเพชรหึงด้วย เพราะจู่ๆก็มีหนุ่มรูปงามมาเฝ้าอยู่หน้าห้องเมีย แถมห้ามมิให้เข้าหาอีก ก็เลยพุ่งตรีศูลตัดเศียรนายทวารบาลหนุ่มจนสิ้นชีพ พอความทราบถึงพระนางปารวตีก็ทรงโกรธพระสวามียิ่ง (ฐานฆ่าบริวารที่พระนางอุตส่าห์ปั้นมากับมือ และถือได้ว่าเป็นลูกชายตาย) โดยไม่ถามไถ่ให้รู้เรื่อง จึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพและเทพีบนสวรรค์ ร้อนถึงพระฤษีนารอดอดรนทนไม่ไหว ต้องทำหน้าที่เป็นทูตเจรจาหย่าศึก พระนางก็ยินยอม แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องชุบชีวิตลูกของพระนางให้ฟื้นคืนมา พระศิวะจึงต้องระดมเทวดาทั้งหลายให้ไปหาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบมาต่อให้โอรสพระนาง ปรากฏว่าได้หัวช้างงาเดียวมา จึงต่อให้พระคเณศฟื้นขึ้นมา และเมื่อคืนชีวิตแล้ว พระคเณศได้ทราบว่าพระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไปขออภัยโทษ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอพระทัย จึงประสาทพรให้พระคเณศมีอำนาจเหนือเทวดาทั้งปวง ท่านจึงได้ชื่อว่าพระคเณศ หรือคณปติที่หมายถึงผู้เป็นใหญ่ในคณะเทพ

ส่วนตำนานที่สอง เล่าว่าครั้งหนึ่งพระศิวะและพระแม่อุมาได้เสด็จไปเที่ยวภูเขาหิมาลัย แล้วไปเจอช้างกำลังสมสู่กัน ก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะก็แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนพระแม่แปลงเป็นช้างพังร่วมสโมสรกันจนมีลูกเป็นพระคเณศ

ตำนานที่สาม เล่าว่าพวกอสูรและรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะจนได้รับพรหลายประการ จึงเกิดความฮึกเหิมก่อความเดือดร้อนไปทั่ว ร้อนถึงพระอินทร์ต้องนำเทวดาทั้งหลายไปเฝ้าพระศิวะบ้าง ขอให้พระองค์ทรงสร้างเทพแห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวางมิให้พวกยักษ์บวงสรวงขอพรได้สำเร็จ พระศิวะจึงทรงแบ่งกายส่วนหนึ่งให้บังเกิดในครรภ์ของพระแม่อุมา ซึ่งออกมาเป็นบุรุษรูปงามนามวิฆเนศวรมีหน้าที่ขัดขวางเหล่าอสูร และคนชั่วมิให้ทำการบัดพลีขอพรจากพระศิวะ อีกทั้งให้เป็นผู้อำนวยความสะดวกแก่เทวดาและคนดีที่จะทำการใดๆให้ไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น ชื่อ วิฆเนศวร ซึ่งเป็นอีกพระนามของพระคเณศ ที่หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในความติดขัด จึงมาจากตำนานนี้ คือ ทำให้คนชั่วทำการติดขัด แต่ส่งเสริมคนดีให้ประสบความสำเร็จในกิจการต่างๆ

สำหรับสองตำนานแรก จะเห็นกำเนิดพระคเณศที่บอกเหตุว่าทำไมจึงมีเศียรเป็นช้าง แต่ตำนานที่สามมิได้บอกไว้ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าจะเป็นตำนานหลังนี้หรือไม่ ที่มีเรื่องเล่าต่อมาว่า เมื่อพระคเณศมีอายุพอจะทำพิธีโสกันต์ (โกนจุก)แล้ว พระศิวะก็ได้ให้เทวดาไปอัญเชิญพระนารายณ์หรือพระวิษณุที่บรรทมอยู่ ณ เกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนมมาร่วมพิธีด้วย ปรากฎว่าท่านกำลังหลับเพลินๆอยู่ พอถูกปลุกก็คงจะหงุดหงิด จึงพลั้งปากเปล่งวาจา ว่า “ไอ้ลูกหัวหาย กวนใจจริง” ด้วยวาจาสิทธิ์ เลยมีผลให้เศียรพระคเณศหลุดไปในทันใด พระศิวะจึงต้องมีเทวโองการให้เหล่าเทวดาไปหาหัวมนุษย์ที่เสียชีวิตมาต่อให้ แต่ปรากฏว่าวันนั้น กลับไม่มีใครตาย มีเพียงช้างที่นอนตายอยู่ทางทิศตะวันตกเท่านั้น เทวดาจึงต้องตัดหัวช้างมาต่อเศียรให้พระคเณศแทน ท่านเลยมีหัวเป็นช้างมาตั้งแต่บัดนั้น และอาจเพราะเหตุนี้ คนโบราณเขาถึงห้ามมิให้นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เพราะจะทำให้ประสบเหตุร้าย แต่บางแห่งก็ว่าเป็นทิศเหนือ นี่ก็สุดแต่ความเชื่อ

ส่วนสาเหตุที่พระคเณศมีเพียงงาเดียวนั้น เล่ากันว่า ถูกขวานของปรศุรามขว้างใส่ ซึ่งปรศุรามนี้ เป็นพราหมณ์ซึ่งเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระนารายณ์ และได้รับประทานขวานเพชรจากพระศิวะ ทำให้มีฤทธิ์เดชมาก ได้ใช้เทพศัตราวุธนี้ไปล้างแค้นแทนบิดามารดา รวมถึงไปปราบปรามเหล่ากษัตริย์ทั้งหลายจนสิ้นโลก วันหนึ่งปรศุรามเกิดระลึกถึงพระศิวะ จึงอยากไปเฝ้าด้วยความจงรักภักดี แต่เมื่อไปถึงเทพสถานชั้นใน ก็ถูกพระคเณศออกมาห้ามมิให้เข้าไป เนื่องจากพระศิวะมีเทวบัญชาห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าเด็ดขาดในวันนั้น เพราะกำลังทรงพระสำราญกับพระแม่อุมาอยู่ ไม่อยากให้ใครรบกวน แต่เพราะปรศุรามคิดว่าตนเป็นคนโปรด ไม่ฟังเสียง จะเข้าเฝ้าให้ได้ จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น ปรศุรามโกรธจนลืมตัว เหวี่ยงขวานเพชรไปที่องค์พระคเณศ พระคเณศเห็นขวานถูกขว้างมาก็ตกใจและจำได้แม่นว่าเป็นขวานของพระศิวะเทพบิดา ก็เกิดความเคารพยำเกรง ไม่กล้าต่อสู้ด้วย เพราะกลัวว่าจะเป็นการหลู่พระเกียรติยศของมหาเทพ อีกทั้งเห็นว่าลูกไม่ควรบังอาจไปต่อต้านอาวุธของพ่อ แม้จะเสียชีวิตเพราะความกตัญญูก็ต้องทำ จึงก้มเศียรลงคารวะต่ออาวุธพระบิดา พร้อมหลับเนตรลง ยอมถวายชีวิตแต่โดยดี ก็ปรากฎว่าขวานที่ขว้างมากระทบกับงาเบื้องขวาของท่าน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว และก่อนงาที่หักจะตกสู่โลก ท่านก็รีบรับไว้ ด้วยเกรงว่า หากงาของท่านตกสู่พื้นโลกจะเป็นอันตรายต่อโลก และเพราะเสียงดังเอะอะขนาดนั้น พระศิวะและพระแม่อุมาที่กำลังสำราญพระทัยก็เลยต้องเสด็จออกมาดู ครั้นพอทราบเรื่อง พระแม่อุมาก็กริ้วจัด สาปปรศุรามจนสิ้นฤทธิ์ ต่อมาพระวิษณุได้มาอ้อนวอนขอให้พระแม่อุมายกโทษให้ปรศุราม พระแม่จึงยอมและถอนคำสาปให้

อย่างไรก็ดี พระวิษณุก็ได้มีเทวประกาศิต แบ่งกำลังของปรศุรามมาให้พระคเณศครึ่งหนึ่ง เพื่อมิให้ปรศุรามมีกำลังมากเกินไป และใช้ไปในทางที่ไม่ควรอีก นอกจากให้กำลังแล้ว ท่านยังประกาศให้พระคเณศมีพระนามว่า เอกทนต์ คือ ผู้มีงาเดียว และว่านามนี้จะเป็นเครื่องประกาศคุณงามความดีที่ทรงเป็นลูกกตัญญูต่อบิดา รู้จักรักษาเกียรติบิดา และยังให้นามว่า พิฆเนศวร ซึ่งหมายถึงผู้ที่สามารถกำจัดอุปสรรคได้นานาประการ รวมทั้งให้นามว่า สิทธิบดี หมายถึง เจ้าแห่งความสำเร็จ แต่ที่สำคัญคือ ทรงให้พรแก่พระคเณศอีกว่า ในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวง ท่านจงเป็นใหญ่เป็นประธาน ผู้กระทำพิธีกรรมใดๆ หากไม่เอ่ยนามท่าน ไม่สวดสรรเสริญท่านก่อน พิธีกรรมนั้นจะไร้ผล และล้มเลิกโดยสิ้นเชิง บุคคลใดสวดสดุดีท่านก่อนทำกิจกรรมใดๆ กิจกรรมของเขาจะลุล่วงเป็นผลสำเร็จโดยง่าย

และด้วยพรที่พระวิษณุหรือพระนารายณ์ประทานแก่พระคเณศนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างพากันบูชาและกล่าวสดุดีองค์พระพิฆเณศวร์ก่อนเทพองค์อื่นเพื่อความสำเร็จแห่งตน และนอกจากพระนามข้างต้นแล้ว พระคเณศยังมีอีกหลายพระนามซึ่งล้วนเรียกตามลักษณะของพระองค์ทั้งสิ้น เช่น อาขุรถ หมายถึง ผู้ทรงหนูเป็นพาหนะ สัพโพทร หมายถึง ผู้มีท้องย้อย และ ลัมพกรรณ หมายถึง ผู้มีหูยาน เป็นต้น

นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว พระคเณศยังได้ชื่อว่า เป็นเทพแห่งปัญญาด้วย โดยมีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งพระแม่อุมาได้นำมะม่วงผลหนึ่งมาถวายพระศิวะ โอรสทั้งสองคือ พระคเณศและพระขันธกุมาร ต่างอยากเสวยมะม่วงผลนี้บ้าง พระศิวะจึงได้ทดสอบดูว่าพระกุมารทั้งสองใครเก่งกว่ากัน โดยบอกว่าใครก็ตามที่เดินทางรอบโลกได้เจ็ดรอบ แล้วกลับมาถึงก่อนเป็นผู้ชนะ ขันธกุมารได้ฟังปั๊บไม่รอช้า ขี่นกยูงออกไปท่องโลกทันที ฝ่ายพระคเณศแทนที่จะทำตาม กลับเดินประทักษิณ (เดินเวียนขวา) รอบพระศิวะผู้เป็นบิดาเจ็ดรอบ แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์เป็นผู้สร้างโลก และทรงเป็นบิดาแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ทำประทักษิณพระบิดาเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศลเท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ” พระศิวะได้ยินคำตอบก็ชื่นชมในสติปัญญาของพระคเณศ จึงมอบผลมะม่วงให้พระองค์ทันที

ที่ว่ามาข้างต้นถือว่าเป็นเรื่องในตำนาน แต่ตามหลักวิชาการ เขาว่ากันว่า ลัทธิบูชาพระคเณศ นั้น น่าจะมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดียซึ่งเป็นลัทธิที่บูชาสัตว์ และพระคเณศอาจมีต้นกำเนิดมาจากการเป็นเทพเจ้าประจำเผ่าของคนที่อาศัยอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ และต้องเผชิญกับฝูงช้างอันน่ากลัว จึงได้เกิดการเคารพในรูปช้างขึ้น เพื่อปกป้องคุ้มครองตน และได้พัฒนาต่อมาเป็นเทพชั้นสูง จนกลายมาเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค ที่มีความเฉลียวฉลาด และยังได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าแห่งเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย และต่อมาก็ได้พัฒนาเรื่องราวจนกลายเป็นโอรสแห่งพระศิวะและพระแม่อุมาตามตำนานข้างต้น ส่วนหนูนั้น เขาว่าน่าจะเกิดจากการที่สมัยก่อนคนประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ หนูที่ชอบทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารจึงเป็นอุปสรรคต่ออาชีพและเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ดังนั้น การนำหนูมาเป็นพาหนะของเทพเจ้าที่ตนนับถือ จึงเป็นการแสดงความมีอำนาจเหนือกว่า และมีนัยของการขจัดอุปสรรคไปในตัว

ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามานี้ คงจะทำให้ทุกท่านได้รู้เรื่องราวขององค์พระพิฆเณศร์เพิ่มขึ้น และก่อนจบขอนำคาถาที่นิยมใช้บูชาพระองค์มาให้ท่านผู้สนใจได้ท่อง คือ “โอม ศรี คเณศายะ นะมะหะ” หมายถึง ข้าฯขอนอบน้อมแด่พระคเณศ

ฝังลูกนิมิต : กิจของสงฆ์ ทางสร้างกุศลของฆราวาส


พุทธศาสนิกชนที่เข้าไปในวัด ส่วนใหญ่คงจะรู้สึกชินตากับแท่นหินในซุ้มที่ตั้งอยู่รอบๆโบสถ์ที่เราเรียกกันว่า “ ใบสีมา ” หรือ “ ใบเสมา ” อยู่ไม่น้อย แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ทราบว่าใบสีมานี้มีไว้เพื่ออะไร และหากจะบอกต่อว่าใต้ใบสีมานี้จะมี “ ลูกนิมิต ” ฝังอยู่ข้างใต้ คงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อยากทราบว่า “ ลูกนิมิต ” คืออะไร และทำไมต้องฝังไว้ใต้ใบสีมาดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อเราเดินทางไปต่างจังหวัด หลายครั้งหลายคราที่เราเห็นป้ายที่ปักข้างทางเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนไปร่วม “ ฝังลูกนิมิต ” ตามวัดต่างๆ หลายคนก็คงสงสัยว่าใช่ลูกนิมิตเดียวกันหรือไม่ ดังนั้น เพื่อเป็นความรู้ในเรื่องดังกล่าว กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่องเกี่ยวกับลูกนิมิตมาเสนอให้ทราบ ดังนี้

โดยทั่วไป “ ลูกนิมิต ” ที่เราเห็น มักจะมีลักษณะเป็นลูกหินกลมๆสีดำ มีทองคำเปลวปิดโดยรอบ ซึ่งตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ “ ลูกนิมิต ” หมายถึง “ ลูกที่ทำกลมๆประมาณเท่าบาตร มักทำด้วยหิน ใช้ฝังเป็นเครื่องหมายเขตอุโบสถ ” ส่วนพจนานุกรมฉบับมติชนให้ความหมายว่า “ ก้อนหินที่วางบอกเขตพัทธสีมาในการทำสังฆกรรม ” สรุปแล้ว ลูกนิมิต ก็คือ ลูกหินกลมๆที่ใช้ฝังเพื่อเป็นเครื่องหมายบอกให้ทราบว่าตรงไหนเป็นเขตอุโบสถหรือโบสถ์ เพื่อให้พระสงฆ์ได้ใช้เป็นที่ประกอบสังฆกรรมนั่นเอง เพราะคำว่า “ นิมิต ” แปลว่า “ เครื่องหมาย ”

เหตุที่ต้องมี “ นิมิต ” เป็นเครื่องหมายบอกว่าตรงไหนเป็นโบสถ์ ก็สืบเนื่องมาจากในสมัยพุทธกาล เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาแล้ว ภายหลังได้มีผู้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุสาวกมากขึ้น พระองค์จึงได้ส่งพระภิกษุเหล่านี้ออกไปเผยแผ่พระศาสนาตามที่ต่างๆ ซึ่งการที่พระภิกษุออกไปอยู่ห่างไกลจากพระพุทธองค์นั้น ก็เท่ากับห่างจากการฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ อีกทั้ง พระสงฆ์ที่บวชแล้วก็มิใช่ว่าจะบรรลุพระอรหันต์กันทุกองค์ ดังนั้น อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของพระพุทธองค์ที่ต้องการให้มีการทบทวนพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์อยู่เสมอ รวมทั้งให้สงฆ์ได้มีการปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาหรือทำกิจบางประการร่วมกัน ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้กำหนดให้ พระสงฆ์ต้องประชุมร่วมกัน หรือที่เรียกว่า ทำสังฆกรรม ในบางเรื่อง เช่น การสวดปาติโมกข์ การบวชพระ การกรานกฐิน และการปวารณากรรม เป็นต้น โดยกำหนดให้ทำสังฆกรรมในบริเวณที่กำหนดไว้เท่านั้น เพื่อมิให้ฆราวาสมายุ่งเกี่ยว เนื่องจากเรื่องเหล่านี้เป็นกิจของสงฆ์ผู้ทรงศีลโดยเฉพาะ แต่เนื่องจากในสมัยแรกๆพระภิกษุยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน แม้ว่าต่อมาจะมีผู้ถวายพื้นที่เป็นวัดให้พระอยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นป่าตามธรรมชาติ เช่น วัดเวฬุวัน (ป่าไผ่) ดังนั้น เมื่อพระสงฆ์ต้องจาริกไปยังที่ต่างๆจึงทรงให้ หมายเอาวัตถุบางอย่างเป็นเครื่องกำหนดเขตแดน ขึ้น เรียกว่า การ ผูกสีมา (คำว่า “ สีมา ” แปลว่า “ เขตแดน ” ) ซึ่งพระพุทธองค์ได้กำหนดไว้ ๘ ประการ ได้แก่ ภูเขา ศิลา ป่าไม้ ต้นไม้ จอมปลวก หนทาง แม่น้ำ และ น้ำนิ่ง และเรียกเครื่องหมายบอกเขตแดนนี้ว่า “ นิมิต ” แต่นิมิตเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ ทำให้การกำหนดเขตแดนที่จะทำสังฆกรรมหรือพูดง่ายๆว่า การกำหนดสถานที่ประชุมสงฆ์ทำได้ยากและมักคลาดเคลื่อน ต่อมาจึงการพัฒนากำหนดนิมิตใหม่อีกประเภทหนึ่งขึ้นแทน คือ เป็นนิมิตที่จัดสร้างหรือทำขึ้นเฉพาะ เช่น บ่อ คู สระ และก้อนหิน โดยเฉพาะก้อนหินเป็นที่นิยมกันมาก เพราะทนทานและเคลื่อนย้ายได้ยาก ครั้นเมื่อเทคโนโลยี่มีความก้าวหน้ามากขึ้น จึงได้มีการประดิษฐ์ก้อนหินให้เป็นลูกกลมๆเป็นเครื่องหมายที่ค่อนข้างถาวรขึ้นแทน และเรียกกันว่า “ ลูกนิมิต ” ดังที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงมีการเรียกเขตแดนที่ใช้ทำสังฆกรรมนี้ว่า “ โบสถ์ ” ซึ่งสมัยก่อนโบสถ์คงมีลักษณะตามธรรมชาติมากกว่าจะเป็นถาวรวัตถุเช่นสมัยนี้ และเมื่อมี “ ลูกนิมิต ” เป็นเครื่องหมายบอกเขต ต่อๆมาก็มีพิธีที่เรียกว่าการ “ ฝังลูกนิมิต ” ขึ้นด้วย

“ การฝังลูกนิมิต ” นี้ มีชื่อเรียกเป็นทางการอีกอย่างหนึ่งว่าการ “ ผูกพัทธสีมา ” (ซึ่งก็แปลว่า เขตทำสังฆกรรมที่กำหนดตามพุทธานุญาต) โดยปัจจุบันจะเริ่มจากพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันในโบสถ์ เพื่อทำพิธี สวดถอน มิให้อาณาบริเวณที่จะกำหนดนี้ไปทับที่ที่เคยเป็นสีมา หรือเป็นที่ที่มีเจ้าของครอบครองอยู่ก่อน เมื่อพระสงฆ์สวดถอนเป็นแห่งๆไปตลอดสถานที่ที่กำหนดเป็นเขตแดนทำสังฆกรรมแล้วว่ามีอาณาเขตเท่าใด จากนั้นจะต้องไปขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเพื่อให้ที่ดินบริเวณนั้นเป็นสิทธิ์ของสงฆ์ ที่เรียกว่าขอ วิสุงคามสีมา (คือเขตที่ได้พระราชทานแก่สงฆ์เพื่อใช้เป็นที่ทำสังฆกรรม) เป็นการแยกส่วนบ้านออกจากส่วนวัด ( วิสุง แปลว่า ต่างหาก คาม แปลว่า บ้าน)การที่ต้องขอพระบรมราชานุญาตเพราะถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของแผ่นดิน การจะกระทำใดบนพื้นแผ่นดินจึงต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน

โดยทั่วไป ลูกนิมิตที่ใช้ผูกสีมาจะมีจำนวน ๙ ลูก โดยฝังตามทิศต่างๆโดยรอบอุโบสถทั้ง ๘ ทิศๆละ ๑ ลูก และฝังไว้กลางอุโบสถอีก ๑ ลูกเป็นลูกเอก เมื่อจะผูกสีมาพระสงฆ์จำนวน ๔ รูปก็จะเดินตรวจลูกนิมิตที่วางไว้ตามทิศต่างๆ โดยเริ่มตั้งแต่ทิศตะวันออกเป็นต้นไป เรียกว่า สวดทักสีมา จนครบทุกทิศและมาจบที่ทิศตะวันออกอีกครั้งเพื่อให้แนวนิมิตบรรจบกัน เมื่อสวดทักนิมิตจบแล้วก็จะกลับเข้าไปประชุมสงฆ์ในอุโบสถ และสวดประกาศสีมาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็จะทำการตัดลูกนิมิตลงหลุมเพื่อกลบ แล้วสร้างเป็นซุ้มหรือก่อเป็นฐานตั้งใบสีมาต่อไป ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจุบันใบสีมานี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายบอกเขตของโบสถ์แทนลูกนิมิตที่เป็นเครื่องหมายเดิมที่ถูกฝังอยู่ข้างใต้ไปแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของความสวยงามหรือการออกแบบในภายหลังก็ได้

อนึ่ง ลูกนิมิตที่ใช้ฝังตามทิศต่างๆนี้ มีผู้เปรียบว่าเป็นเสมือนองค์พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกสำคัญๆ กล่าวคือ ลูกนิมิตที่ฝังทาง ทิศตะวันออก หมายถึง พระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งได้ชื่อว่าผู้รู้ราตรีกาลนาน คือ มีความรู้มาก ผ่านโลกมามาก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมายถึง พระมหากัสสปะ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทรงธุดงค์คุณ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หมายถึง พระราหุล ผู้เป็นเลิศทางการศึกษา ทิศใต้ หมายถึง พระสารีบุตร ผู้เลิศในทางปัญญา ทิศเหนือ หมายถึง พระโมคัลลานะ ผู้เลิศทางฤทธิ์ ทิศตะวันตก หมายถึง พระอานนท์ ผู้เลิศในทางพหูสูต ทิศตะวันตกเฉียงใต้ หมายถึง พระอุบาลี ผู้เลิศในทางวินัย และ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หมายถึง พระควัมปติ ผู้เลิศในทางลาภและรูปงาม ส่วนลูกนิมิต กลางโบสถ์ ก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยเหตุที่ในสมัยก่อน การที่จะสร้างโบสถ์ได้หลังหนึ่งๆ หรือแม้จะซ่อมแซมโบสถ์เก่าให้สวยงามขึ้นมิใช่เรื่องง่าย และต้องใช้ระยะเวลานานมาก ดังนั้น จึงเชื่อกันว่าหากใครได้มีโอกาสทำบุญ “ ฝังลูกนิมิต ” หรือพูดง่ายๆว่าได้ร่วมสร้างโบสถ์ให้พระได้ใช้ทำสังฆกรรมนั้น จะมีอานิสงส์ถึง ๖ ประการด้วยกัน คือ ๑.ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บทุกชาติ ปราศจากอุปัททวะ(อุ-ปัด-ทะ-วะ สิ่งอัปมงคล)ทั้งหลาย ๒.ไม่เกิดในตระกูลต่ำ ๓.หากเกิดในมนุษย์โลกก็จะเกิดเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ ๔.หากเกิดในเทวโลกก็จะเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ๕.จะสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีผิวพรรณผ่องใส และข้อสุดท้าย คือ มีอายุยืนนาน และมักจะใส่สมุด ดินสอ เข็มและด้ายลงไปในหลุมที่ฝังลูกนิมิตด้วย เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้มีความจำดี มีปัญญาเฉียบแหลมเหมือนเข็ม และมีความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องเหมือนความยาวของด้าย

อันที่จริงแล้ว การ “ ฝังลูกนิมิต ” เพื่อกำหนดเขตทำสังฆกรรมหรือปัจจุบันก็คือการกำหนดเขตที่เป็นโบสถ์นั้น เป็นกิจของสงฆ์โดยเฉพาะ คือฆราวาสหรือชาวบ้านไม่ได้มีส่วนยุ่งเกี่ยว แต่เนื่องจากปัจจุบันโบสถ์มิเพียงแต่จะเป็นสถานที่ที่สงฆ์ใช้ทำสังฆกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นศาสนสถานที่พุทธศาสนิกชนใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมอื่นๆด้วย อีกทั้ง ไม่ว่าสร้างหรือซ่อมแซมโบสถ์ขึ้นใหม่จำเป็นจะต้องมีการผูกพัทธสีมาใหม่ทุกครั้ง ดังนั้น ทางวัดต่างๆจึงมักจะประกาศเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนได้มาทำบุญสร้างกุศลด้วยกัน โดยการจัดงาน “ ฝังลูกนิมิต ” เพื่อสร้างโบสถ์ร่วมกัน ซึ่งชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ยินดี เพราะเชื่อกันว่าจะได้อานิสงส์มากดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม อานิสงส์จากการร่วมทำบุญฝังลูกนิมิตนี้ บางคนอาจจะมีข้อกังขาว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องอนาคตอันยาวไกล แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นผลทันตา ก็คือ จิตใจที่อิ่มเอิบและความปีติที่ได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลที่ดีแก่ตนเอง ที่สำคัญบุญนี้ก็ได้มีส่วนช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรต่อไปด้วย

ความเชื่อของชาวล้านนาจากจารึกโบราณ


ความเชื่อของชาวล้านนาจากจารึกโบราณ


ภาคเหนือของไทยที่คนทั่วไปมักเรียก “ล้านนา”นั้น นับเป็นดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจให้คนอยากไปเยือนอยู่เสมอ ทั้งนี้ เพราะวิถีชีวิตที่ปรากฎเป็นรูปธรรมอันโดดเด่นได้กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างไปจากภูมิภาคอื่นๆ จากหน้าบันทึกประวัติศาสตร์ในอดีต “ล้านนา” เป็นอาณาจักรหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งทางภาคเหนือตอนบนก่อนที่จะมาหลอมรวมกับกรุงรัตนโกสินทร์เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะผ่านช่วงพัฒนาการที่ยาวนานทั้งการเป็นอาณาจักรที่เป็นอิสระปกครองโดยราชวงศ์มังราย มีความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อม จนต่อมาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าและสยามนั้น อาณาจักรล้านนาก็ยังคงมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มชน ภายใต้ระบบความเชื่อแบบผสมผสานทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และการนับถือผี โดยสะท้อนให้เห็นจากมรดกวัฒนธรรม อาทิ ศาสนสถาน โบราณสถาน โบราณวัตถุ และเอกสารโบราณต่างๆ เช่น คัมภีร์ใบลาน พับสา สมุดไทย และจารึกล้านนาที่มีเป็นจำนวนมาก

จากจารึกล้านนาอันเป็นเอกสารโบราณนี้เองที่นางสาวธนพร แตงขาว นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ทำการวิจัยโดยทุนสนับสนุนของสวช.เรื่อง “การศึกษาวิถีชีวิตและความเชื่อของชาวล้านนาจากจารึกล้านนา” โดยเป็นการศึกษาวิเคราะห์วิถีชีวิต สังคม ความเชื่อของชาวล้านนาในทุกชนชั้น จากข้อมูลในจารึกล้านนาที่มีการจารึก ตั้งแต่พ.ศ. ๑๘๒๒-๒๔๗๘ จำนวน ๑๘๖ หลัก ที่พบบริเวณ ใน ๘ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ พะเยา เชียงราย เชียงใหม่ น่าน ลำปาง ลำพูน แพร่และแม่ฮ่องสอน เน้นในเรื่องวิถีชีวิตด้านกิจกรรมทางศาสนาของสังคมอาณาจักรอันได้แก่กษัตริย์ เจ้าเมือง และชาวบ้าน และสังคมพุทธจักรที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ การเป็นข้าวัดหรือข้าพระ (หมายถึงการถวายคนให้เป็นผู้ดูแลพระสงฆ์ รวมทั้งดูแลวัดและผลประโยชน์ของวัด เนื่องจากสมัยก่อนวัดในล้านนารุ่งเรืองมาก จึงต้องมีข้าวัดหรือข้าพระคอยดูแลและถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง) รวมถึงความเชื่อของชาวล้านนาที่ปรากฎในจารึกดังกล่าวข้างต้น ซึ่งในที่นี้ ทางกลุ่มประชาสัมพันธ์ สวช. กระทรวงวัฒนธรรมจะขอนำเฉพาะเรื่องความเชื่อของชาวล้านนามาเสนอ เพื่อให้เห็นถึงแนวคิดและความศรัทธาที่สืบเนื่องมาจากอดีตว่าเป็นเช่นไร จึงมีผลต่อการดำเนินชีวิตดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

จากการศึกษาวิเคราะห์จารึกข้างต้นพบว่า ชาวล้านนามีความเชื่อในคำสอนทางพุทธศาสนาเป็นสำคัญ โดยมีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ และความเชื่อทางโหราศาสตร์ผสมผสานอยู่ด้วย กล่าวคือ
๑.ความเชื่อในคำสอนของศาสนาพุทธ ได้แก่ ความเชื่อในกฎแห่งกรรม ชาวล้านนาเชื่อว่าการทำดีย่อมได้รับผลดีตอบแทน เช่น การทำบุญทำนุบำรุงพุทธศาสนา ก็จะทำให้ผู้ทำบุญพบแต่สิ่งที่ดีงาม คิดสิ่งใดก็สมปรารถนา เชื่อในเรื่องนิพพาน เชื่อว่าหากตนได้บรรลุนิพพานก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น จึงมุ่งทำบุญให้ตนเองหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เชื่อว่าพุทธศาสนายุคพระสมณโคดมจะสิ้นสุดเมื่อมีอายุ ๕,๐๐๐ปี ชาวล้านนาจึงมุ่งทำบุญเพื่อต่ออายุพุทธศาสนา ในขณะเดียวกันก็เชื่อว่าจะมียุคพระศรีอาริยเมตตไตรยต่อเนื่องจากนั้น จึงทำบุญเพื่อขอให้ตนได้ไปเกิดเป็นพระหรือพระอรหันต์ในยุคนั้น นอกจากนี้ชาวล้านนายังเชื่อและศรัทธาในเรื่องพระธาตุ เป็นอย่างมาก ดังปรากฎว่าสถานที่สำคัญๆทุกเมืองจะกล่าวถึงที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ และเชื่อว่าผู้ที่ได้สักการะพระธาตุอันเป็นกระดูกของพระพุทธเจ้าจะเกิดสิริมงคลแก่ตน ความเชื่อเรื่องเทวดาพุทธ ชาวล้านนาเชื่อว่าเทวดาที่ปรากฎในคำเทศนาของพระพุทธองค์ เช่น พระอินทร์ พระพรหม ท้าวจัตุโลกบาลเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดี และอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ และจะคอยปกป้องคุ้มครองผู้ที่กระทำความดี จึงให้ความเคารพสักการะเทวดาเหล่านี้ด้วย ความเชื่อในเรื่องการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ชาวล้านนาเชื่อว่าผลบุญที่ทำจะสามารถอุทิศให้แก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วได้ และยังสามารถอุทิศให้แก่บุคคลที่มีชีวิตอยู่ให้มีความสุข ความสมหวังได้ด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากคำอธิษฐานที่ปรากฎในจารึกที่ต่างๆ

๒.ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ นอกจากจะนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ชาวล้านนายังเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ นับถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณต่างๆในธรรมชาติที่ช่วยปกป้องคุ้มครองให้ผู้คนในสังคมอยู่เย็นเป็นสุข ดังที่ปรากฎอยู่ในจารึก ๒ เรื่องคือ ความเชื่อในเรื่องเรือนยันต์ อันเป็นคาถาที่ขอให้เกิดความเป็นสิริมงคลในการทำกุศลกิจกรรม หรือเป็นคาถาขับไล่สิ่งชั่วร้าย มิให้เกิดขึ้น ความเชื่อเรื่องเสื้อบ้าน เสื้อเมืองและเสื้อวัด เสื้อบ้านจะหมายถึง วิญญาณที่คอยให้ความอนุเคราะห์แก่คนในหมู่บ้าน ส่วนเสื้อเมือง หมายถึง วิญญาณของเจ้าเมืององค์ก่อนๆหรือวีรบุรุษที่คอยให้ความคุ้มครองและอนุเคราะห์ดูแลคนทั้งเมือง และเสื้อวัด คือ วิญญาณที่คอยปกป้องดูแลวัด ซึ่งในปัจจุบันชาวล้านนาก็ยังมีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่ ดังจะได้เห็นบางบ้านมีหิ้งบูชาบรรพบุรุษหรือหรือหิ้งผีปู่ย่า หรือในหมู่บ้านก็จะมีสถานที่ตั้งของเสื้อบ้านหรือผีหมู่บ้านอยู่ โดยทุกปีชาวบ้านจะมีการจัดของไปเซ่นไหว้ จากนั้นก็นำมาแจกจ่ายกันกิน

๓.ความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ ในเรื่องฤกษ์งามยามดี ชาวล้านนาเมื่อจะประกอบการทำบุญทำกุศลซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ก็จะดูฤกษ์ยามที่เป็นมงคลควบคู่กันไปด้วย ซึ่งความเชื่อนี้จะปรากฎให้เห็นในวงดวงหรือดวงฤกษ์ที่จารึกในตอนบนสุด และจารึกที่เป็นการบอกปี เดือน วัน ดิถี นาทีฤกษ์ของการทำกิจกรรมนั้นๆ รวมถึงวงดวงชะตาของโบสถ์ วิหารหรือวัดด้วย อันแสดงให้เห็นว่าความเชื่อทางโหราศาสตร์สามารถผสมผสานกับความเชื่อทางพุทธศาสนาอย่างลงตัว

กล่าวโดยสรุปชาวล้านนามีความเชื่อในคำสอนของพุทศาสนาเป็นหลักสำคัญ และใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต อีกทั้งใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงส่งผลให้ชาวล้านนามุ่งเน้นที่จะประกอบการบุญการกุศล นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เรือนยันต์ ที่เป็นเวทย์มนต์คาถาที่คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไป และยังมีความเคารพต่อเสื้อบ้าน เสื้อเมือง ซึ่งก็คือวิญญาณของบรรพบุรุษหรือวีรบุรุษ ที่เชื่อว่ายังคงอยู่และคอยคุ้มครองให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหลาน โดยจะมีพิธีกรรมที่แสดงออกถึงความเชื่อด้วยการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกปี นอกเหนือจากนี้ชาวล้านนายังเชื่อเรื่องการดูฤกษ์งามยามดีอันเป็นเวลามงคลในการประกอบกุศลกรรมต่างๆด้วย

ความเชื่อของชาวล้านนาเหล่านี้ หลายคนอ่านแล้ว อาจคิดว่าก็ไม่ต่างอะไรกับคนปัจจุบันที่เชื่อทั้งในเรื่องพุทธศาสนา โหราศาสตร์ และสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่โดยความเป็นจริงแล้วความเชื่อของชาวล้านนาดังกล่าวเป็นความเชื่อสั่งสม ที่ผ่านการสั่งสอน และปลูกฝังจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จึงปรากฎเป็นหลักฐานให้เห็นเด่นชัดทั้งในโบราณสถาน โบราณวัตถุ และจารึกต่างๆตามที่กล่าวข้างต้น และเป็นความเชื่อที่มุ่งเน้นให้คนประกอบคุณงามความดีโดยมีจุดมุ่งหมายให้เกิดความสุข ความเจริญแก่ตน ครอบครัว ชุมชนและบ้านเมือง มิใช่สอนให้คนงมงาย เห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวกเป็นที่ตั้งโดยใช้ศาสนาบังหน้า หรือชักจูงไปสู่ความเป็น “วัตถุนิยม” ดังที่เห็นในสมัยนี้ ที่บางแห่งยังมีความเชื่อทางไสยาศาสตร์อันถือเป็นมนต์ดำมาเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ดี ในยุคโลกาภิวัตน์ที่โลกมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ความเชื่อบางอย่างก็ได้สูญหายไปกับกาลเวลาและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่ความเชื่อหลายอย่างก็ยังอยู่ เพื่อท้าทายให้พิสูจน์ถึงสัจจธรรมความเป็นจริงแห่งชีวิตที่คนทั้งหลายไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังเช่น เรื่อง “กฎแห่งกรรม”ของพระพุทธองค์ ที่หลายๆคนพูดว่า “ยุคนี้ เป็นยุคกรรมติดจรวด” เห็นผลทันตา ทันใจ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงได้รับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ กังหันน้ำชัยพัฒนา


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงได้รับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ กังหันน้ำชัยพัฒนา


2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงได้รับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ "เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย" หรือ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ซึ่งใช้ประโยชน์ในการบำบัดน้ำเสียโดยช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนลงในน้ำ นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรและเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการออกสิทธิบัตรให้แก่พระมหากษัตริย์

ที่มาของ "กรุงเทพมหานคร" และ "บางกอก"




ที่มาของ "กรุงเทพมหานคร" และ "บางกอก"



กรุงเทพมหานคร มาจากนามพระราชทาน "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" มีความหมาย "เมืองของเทวดา มหานครอันเป็นอมตะ สง่างามด้วยแก้ว 9 ประการ และเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เมืองที่มีพระราชวังหลายแห่ง ดุจเป็นวิมานของเทวดา ซึ่งพระวิษณุกรรมสร้างขึ้นตามบัญชาของพระอินทร์" ปัจจุบันภาษาราชการเรียก กรุงเทพมหานคร และอย่างย่อว่า กรุงเทพฯ
แต่เมื่อแรกสถาปนาราชธานีนั้น ตรงสร้อย "อมรรัตนโกสินทร์" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานว่า "บวรรัตนโกสินทร์" จวบจนถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็น อมรรัตนโกสินทร์ และต่อมามักเรียกกันว่า กรุงรัตนโกสินทร์



ชื่อกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ Krung Thep Maha Nakhon แต่ต่างชาติส่วนใหญ่เรียกเมืองนี้ว่า Bangkok อันมาจากอดีตของเมืองซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร ที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า "บางกอก" แต่จะออกเสียงเป็น "แบงก์ค็อก" มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีความสำคัญในฐานะเส้นทางออกสู่ทะเลและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรต่างๆ ทั้งเป็นเมืองหน้าด่านขนอน คอยดูแลเก็บภาษีจากเรือสินค้าทุกลำที่ผ่านเข้าออก ส่วนบริเวณปากน้ำตรงอ่าวไทย เรียกกันว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" (ฝรั่งเทียกับกรุงอัมสเตอร์ดัมของฮอลแลนด์ที่เมืองท่าสำคัญของยุโรป) มีชุมชนใหญ่และโกดังของชาวต่างประเทศไว้สำหรับพักสินค้า ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
สำหรับที่มาของคำว่า บางกอก มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า "บางเกาะ" หรือ "บางโคก" แล้วเพี้ยนเป็นบางกอก บ้างก็ว่าเนื่องเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า "บางมะกอก" คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นมะกออก ข้อสันนิษฐานนี้อ้างอิงมาจากชื่อเดิมของวัดอรุณราชวราราม คือ วัดมะกอก (ก่อนจะเป็นวัดมะกอกนอก และวัดแจ้ง ตามลำดับ) และต่อมาบางมะกอกกร่อนคำเหลือแค่ บางกอก
เมื่อครั้งกอบกู้อิสรภาพจากพม่าหลังเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ คือ กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2313 แต่ด้วยกรุงธนบุรีมีสภาพเป็นเมืองอกแตก ตรงกลางมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน เมื่อ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ขึ้นเสวยราชสมบัติ เฉลิมพระนาม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชดำริว่า ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีชัยภูมิดีกว่า เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่า



โปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกนั้นเป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที ปีขาล จ.ศ.1144 จัตวาศก ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 6.54 น. พระราชทานนามก่อนมีการเปลี่ยนแปลงสร้อยในรัชกาลที่ 4 ดังกล่าว
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2514 รัฐบาลได้รวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกัน เป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรี และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร