Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระพุทธเจ้าหลวง ทรงเป็นรัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบรมราชสมภพเมื่อ วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. 2411) รวมสิริดำรงราชสมบัติ 42 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา


พระองค์ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ (ต่อมาภายหลังในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการเปลี่ยนแปลงพระนามเจ้านายฝ่ายในให้ถูกต้องชัดเจนตามโบราณราชประเพณีนิยมยุคถัดมาเป็น สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี) ได้รับพระราชทานนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร

พระองค์ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชารวม 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช

วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2404 สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ ได้รับการสถาปนาให้ขึ้นทรงกรมเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ [1] และเมื่อ พ.ศ. 2409 พระองค์ทรงผนวชตามราชประเพณี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังจากการทรงผนวช พระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า



พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

การเลิกทาส
ทาสตามกฎหมายโบราณ แยกทาสเอาไว้ทั้งหมด 7 ชนิดด้วยกันคือ

1.ทาสสินไถ่

2.ทาสในเรือนเบี้ย

3.ทาสได้มาแต่บิดามารดา

4.ทาสท่านให้

5.ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ

6.ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย

7.ทาสเชลยศึก

ประเทศไทยนั้นมีการใช้ทาสมาเป็นเวลานานเพื่อใช้ทำกิจการต่าง ๆ ในบ้านเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่สูงศักดิ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นทาสนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถือเป็นประเพณีแล้ว เจ้านายหรือขุนนาง เสนาบดีที่เป็นใหญ่ในแผ่นดินมักมีทาสเป็นข้ารับใช้ที่มไอาจสร้างความเป็นไท แก่ตัวเอง พระองค์ทรงใช้พระวิริยะอุตสาหะที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไปพระองค์ทรงใช้ ระยะเวลาอันยาวนานกับการเลิกทาส ด้วยทรงพระราชดำริกับเสนาบดีและข้าราชบริพารเกี่ยวกับเรื่องทาส พระองค์ทรงคิดหาวิธีที่จะปลดปล่อยทาสให้ได้รับความเป็นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อม ทำตามลำดับขั้นตอน จนกระทั่งประสบความสำเร็จในการเลิกทาสในที่สุด

ในปี พ.ศ. 2417 โปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาสโดยกำหนดเอาไว้ว่าลูกทาส ที่เกิดแต่ปีมะโรง พ.ศ. 2441 อันเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ให้ใช้อัตราค่าตัวเสียใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ พออายุครบ 8 ปี ก็ให้ตีค่าออกมาให้เต็มตัว จนกว่าจะครบ 20 ปีบริบูรณ์ ให้กลับเป็นไทแก่ตัว เมื่อก้าวพ้นเป็นอิสระแล้วห้ามกลับมาเป็นทาสอีก ทรงระบุเรื่องโทษของการเป็นทางทั้งแก่ผู้ซื้อและผู้ขายเอาไว้ด้วย เป็นการป้องกันมิให้เกิดการกลับมาเป็นทาสอีก

ด้วยพระเมตตาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรของพระองค์เอง การดำริเรื่องการเลิกทาสนั้น พระองค์ทรงเริ่มการปลดปล่อยทาสตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ พระองค์ท่านใช้ความวิริยะอุตสาหะ ที่จะออกกฎหมายมาบังคับให้เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นนายเงิน ให้ปลดปล่อยทาสให้ได้รับอิสระเป็นไทแก่ตัว พระองค์ท่านต้องใช้เวลากว่า 30 ปี ในการที่จะไม่ให้มีทาสเหลือยู่ในพระราชอาราจักรของพระองค์ท่านอีก โดยที่มิต้องสูญเสียเลือดเนื้อในการเลิกทาสแม้แต่หยดเดียว ซึ่งแตกต่างกับต่างชาติที่เมื่อประกาสเลิกทาส ก็เกิดการคัดค้านต่อต้านขึ้นจนทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด


การเสด็จประพาส

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงชื่นชอบการเสด็จประพาสยิ่งนัก พระองค์ทรงเสด็จประพาสทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ บางครั้งทรงปลอมพระองค์ทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง เพื่อเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ มากมาย การเสด็จประพาสบ่อยครั้งทำให้ทรงได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายทั้งที่ดีและไม่ดี สิ่งเหล่านี้พระองค์ท่านได้นำมาพัฒนาบ้านเมืองให้เกิดความเจริญขึ้น จะเห็นได้จากที่พระองค์ทรงพระราชดำริในการเสด็จประพาสในแต่ละครั้ง

ในปี พ.ศ. 2413 ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านเป็นครั้งแรก ทรงเลือกที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปในประเทศเพื่อบ้านใกล้เคียง คือ ประเทศสิงคโปร์ และประเทศชวา ด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบอินโดจีนด้วย และเพื่อเรียนรู้การปกครองเนื่องด้วยประเทศทั้งสองนี้ต่างก็เป็นเมืองขึ้น ของประเทศอังกฤษ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2415 ทรงได้เสด็จเยือนประเทศเพื่อนบ้านอีก 2 ประเทศ คือประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และเมื่อที่เสด็จไปประเทศอินเดียนั้น ทรงได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยา อินเดีย เพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทย ทั้งนี้เป็นการทำนุบำรุงพระศาสนาให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น

ด้วยในขณะนั้นประเทศในแถบอินโดจีนได้รับการรุกรานจากประเทศมหาอำนาจ จากตะวันตกและด้วยประเทศในแถบอินโดจีนนั้นเป็นปรเทศที่ด้วยพัฒนา ทำให้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจได้โดยง่า รวมถึงประเทศไทยก็กำลังต้องเผชิญกับสภาวะนี้อยู่เช่นกัน ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระองค์ในกาลนี้ พระองค์จึงตั้งพระทัยที่จะเสด็จประพาสยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศ มหาอำนาจเหล่านั้น

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2440 โดยประเทศที่ได้เสด็จประพาส คือ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี ออกสเตรเลีย ฮังการี สเปน เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์และเยอรมัน ทั้งนี้มีเหตุผลอยู่หลายประการในการเสด็จประพาสครั้งนี้ คือ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจ และร่วมปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ซึ่งในขณะนั้นมีปัญหาการสู้รบกันอยู่ การเสด็จประพาสของพระองค์ในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติของพระมากษัตริย์ไทย

ในปี พ.ศ 2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย ทั้งนี้มีความประสงค์ที่จะพัฒนาประเทศไทยให้ได้รับความเจริญก้าวหน้าให้ทัด เทียมกับนานาประเทศ




ด้านสถาปัตยกรรม

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นงานศิลปที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกด้วยเหตุผลที่ว่าจะประหยัดค่าใช้ จ่ายในการก่อสร้างเนื่องด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกไม่สลับซับซ้อนเท่าไรอีกทั้ง ยังทรงได้มีการเสด็จประพาสยุโรป พระองค์จึงนำสถาปัตยกรรมตะวันตกมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทยได้อย่างงดงาม ดังจะเห็นได้จากงานสถาปัตยกรรม ดังต่อไปนี้


1. พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นศิลปกรรมอิตาลี ใช้เป็นสถานที่ในการออกท้องพระโรงว่าราชการเมือง


2. วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ เป็นงานศิลปะไทยที่ผสมผสานกับตะวันตกได้อย่างงดงามลงตัว วัดแห่งนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ พระราชวังบางปะอิน


3. พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นงานที่ผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและตะวันตกอีกชี้นหนึ่งที่มีความงดงาม ตั้งอยู่ในบริเวณพระบรมราชวัง


4. พระราชวังดุสิต

5. พระบรมราชนิเวศน์

6. ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม



พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งประชาชาติไทยได้พร้อมใจกันถวายพระนามแด่พระองค์ว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง หรือ สมเด็จพระปิยมหาราช และพากันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อยู่ในทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นพระบรมราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพสิรินทราบรมราชินี พระองค์ประสูติ เมื่อปีฉลู วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2396 ได้เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติ เมื่อวันพุธ เดือน 12 แรม 12 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 เมื่อพระชนม์ได้ 16 พรรษา ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 5 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 เมื่อพระชนมายุได้ 58 พรรษา เสวยราชสมบัติได้ 42 ปี

ตลอดเวลา 42 ปี ที่สมเด็จพระปิยมหาราชได้เสวยราชสมบัตินั้น พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นอเนกประการ โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระองค์นั้น เป็นระยะเวลาที่อารยธรรมสมัยใหม่ได้เข้ามาสู่ชาติไทย และเป็นพื้นฐานให้ชาติไทยได้เจริญก้าวหน้าตลอดมาจนถึงสมัยทุกวันนี้ ปัจจัยแห่งอารยธรรมสมัยใหม่ที่ได้ริเริ่มในรัชสมัยของพระองค์มี อาทิเช่น การประปา การไฟฟ้า การไปรษณีย์โทรเลข การรถไฟ การตัดถนนหนทาง การแพทย์ การสาธารณสุข การศาล การทหาร การจัดระบบการศึกษาแบบใหม่ การตั้งโรงพยาบาล และการจัดระบบการบริหารราชการแผ่นดินตามแบบอย่างอารยประเทศ การเลิกทาส การจัดตั้งสภาเสนาบดี อันเป็นวิธีการของการปกครองอย่างระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระปิยมหาราชนี้ ซึ่งแต่กาลสมัยก่อนนั้น เมืองไทยยังไม่มีปัจจัยแห่งอารยธรรมสมัยใหม่อันสำคัญดังกล่าวนี้ และประการสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือการจัดส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งได้กลับมาเป็นกำลังสำคัญแก่ประเทศชาติมากที่สุด นับว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์สำคัญพระองค์หนึ่งในประเทศประวัติศาสาสตร์ของชาติไทย ที่ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชาติไทยอย่างใหญ่หลวง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 โปรดให้สถาปนาพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรีเป็นนางเธอฯ ในต้นรัชกาลนั้น และเลื่อนเป็นพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี เมื่อปี พ.ศ.2423 ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระนางสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์ ครั้น พ.ศ.2437 สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มกุฎราชกุมารพระองค์แรกในกรุงสยามซึ่งเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 อันประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี เสด็จทิวงคต พระพุทธเจ้าหลวงปิยมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี พระราชโอรสที่ประสูตแต่พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี เลื่อนขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารแทน และโปรดเกล้าฯ ให้พระชนนีของมกุฎราชกุมารนั้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี

สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 มีพระนามเดิม พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา รวม 9 พระองค์คือ

1. สมเด็จเจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย เป็นกรมพระเทพนารีรัตน์ ในรัชกาลที่ 6 ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2421 แต่พระองค์สิ้นพระชนม์แต่พระชันษา 9 ปี

2. สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2423 ต่อมาทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ตามลำดับ ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

3. สมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพชรรุตมธำรง ประสูติเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2424 สิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชันษาเพียง 7 พรรษา

4. สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ เป็นกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ต้นสกุลจักรพงษ์ ประสูติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2425 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2463

5. สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกุกุธภัณฑ์ ประสูติเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2428 สิ้นพระชนม์แต่พระชันษา 3 ปี

6. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ในวันที่ประสูติ

7. สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางคเดชาวุธ เป็นกรมหลวงนครราชสีมา ประสูติเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2432 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2467

8. สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก เป็นกรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ประสูติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2435 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2466

9. สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิ์เดชน์ เป็นกรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ประสูติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2436 และเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 7

สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี ในรัชกาลที่ 5 มีพระนามเดิม “สว่างวัฒนา” ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา รวม 8 พระองค์คือ

1.สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิรุณหิศฯสมเด็จพระบรมราชโอรสาธิราชสยามกุฎราชกุมาร ประสูติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2421 สวรรคตเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2432 พระชนมายุได้ 16 พรรษาเศษ

2. สมเด็จเจ้าฟ้าชายอิศริยาภรณ์ ประสูติเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.2428 มีพระชนมายุได้เพียง 21 วัน ก็สิ้นพระชนม์

3. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา ประสูติเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2424 มีพระชนมายุได้ 3 เดือน กับ 24 วันก็สิ้นพระชนม์

4. สมเด็จเจ้าฟ้าชายสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ประสูติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2425 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2442 มีพระชนม์มายุได้ 17 พรรษา

5. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ประสูติเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2427 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2481 มีพระชนม์มายุได้ 54 พรรษาเศษ

6. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ ประสูติเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2431 สิ้นพระชนมเมื่อพระชนม์มายุได้ 9 พรรษา

7. สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ประสูติเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2434 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2470 เมื่อมีพระชนมายุได้ 37 พรรษา นับว่าพระองค์มีพระบุญญาธิการอันยิ่งใหญ่ที่พระโอรสได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินถึง 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และต่อมาในรัชกาลที่ 9 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระราชบิดากรมหลวงสงขลานครินทรว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศธ์อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และประกาศเฉลิมพรนามาภิไธย สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลว่า “สมเด็จพระศรีนครินทราพระบรมราชชนนี”

8. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงประสูติได้ 3 วัน ก็สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 77 พระองค์

ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ นี้ เป็นระยะเวลาที่มหาอำนาจตะวันตกได้แผ่อำนาจมาทางเอเซียอาคเนีย์ หลายประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกแต่ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระปิยมหาราช พระองค์ได้ทรงยอมเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสถึง 5 ครั้ง และแก่อังกฤษ 1 ครั้ง เพื่อรักษาเอกราชของประเทศชาติเอาไว้ ดังนี้

การเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสในช่วงแรก พ.ศ.2410 – 2436 (ค.ศ.1867 – 1893)

ครั้งที่ 1 เสียเขมรส่วนนอก พ.ศ.2410 (ค.ศ.1867)

ครั้งที่ 2 เสียแคว้นสิบสองจุไทย พ.ศ.2431 (ค.ศ.1888)

ครั้งที่ 3 เสียหัวเมืองเงี้ยวทั้งห้าและหัวเมืองกระเหรี่ยงตะวันออก พ.ศ.2435 (ค.ศ.1892)

ครั้งที่ 4 เสียดินแดนบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง พ.ศ.2436 (ค.ศ.1893)

การเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษในช่วงหลัง พ.ศ.2446 – 2452 (ค.ศ.1904-1909) ดังนี้

ครั้งที่ 1 เสียฝั่งขวาของแม่น้ำโขง : มโนไพร จำปาศักดิ์ และหลวงพระบางบนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส พ.ศ2446 (ค.ศ.1904)

ครั้งที่ 2 เสียมณฑลบูรพาให้แก่ฝรั่งเศส พ.ศ.2449 (ค.ศ.1907)

ครั้งที่ 3 เสียรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และประลิศให้อังกฤษ พ.ศ.2452 คิดเป็นเนื้อที่ ๆ เสียดินแดนไปประมาณ 518,700 ตารางกิโลเมตร

[แก้ไข] พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
[แก้ไข] การปฎิรูปการปกครองของไทย


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงปฎิรูปการปกครองของประเทศไทย จากแผนโบราณมายังแผนอารยใหม่ทั้งหมด การที่พระองค์ทรงปฎิรูปการปกครองแบบแผนใหม่นี้ ก็เนื่องมาจากมูลเหตุบางประการคือ

มูลเหตุจากปัญหาภายนอกประเทศ คือในช่วงรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 ประเทศต่าง ๆ ที่อยู่รอบประเทศของเราในคาบสมุทรอินโดจีน ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการปกครองของประเทศมหาอำนาจตะวันตกคือ ฝรั่งเศสและอังกฤษ

มูลเหตุจากภายในประเทศ ประเทศไทยเรายังใช้ระบบแผนโบราณมาปกครองประเทศ ทำให้การบริหารงานปกครองแผ่นดินอืดอาดล่าช้า

ก่อนการปฎิรูประเบียบการบริหารราชการแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่ พ.ศ.2435 นั้น ดินแดนที่ไทยเราปกครองอยู่แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ดินแดนที่เป็นของดั้งเดิมของไทย หรือดินแดนชั้นใน แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ หัวเมืองชั้นใน อันเป็นที่ตั้งราชธานีคือ กรุงเทพฯ หัวเมืองชั้นในนั้นต้องอยู่ภายในระยะที่จะติดต่อกันได้ภายใน 2 วัน กับหัวเมืองชั้นนอก ดินแดนใหม่ที่ได้ผนวกเข้ามาคือ เมืองประเทศราชนั่นเอง

หัวเมืองชั้นในได้แก่ จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขัน์ กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี สมุทรสาคม นครสวรรค์ ชัยนาท ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และนครนายก
หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ หัวเมืองที่อยู่ถัดออกไปจากหัวเมืองชั้นในทั้งหมด แบ่งออกเป็นเมืองพระยามหานคร ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองเอก โท ตรี
ก่อนที่จะมีการปฎิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 รูปแบบการปกครองในสมัยก่อนได้มีเสนาบดี ตำแหน่งสูงสุด 3 ตำแหน่งคือ

สมุหนายก
สมุหกลาโหม
พระยาโกษาธิบดี
ในทางทฤษฎีนั้น อำนาจของเจ้าเมืองอยู่ภายใต้ขอบเขตตามที่พระราชกำหนดบัญญัติไว้ แต่ในทางปฎิบัติแล้ว อำนาจของเจ้าเมืองมีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเมืองที่อยู่ไกล ๆ ราชธานีออกไป และความสวามิภักดิ์ต่องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งปกครองราชธานีก็มีเพียงแต่ผิวเผินเท่านั้น การปกครองบังคับบัญชาตลอดจนการปฎิบัติหน้าที่ของข้าแผ่นดินก็ปฎิบัติกันในรูปแบบหรือใช้ลัทธิเจ้าขุนมูลนาย เกิดช่องว่างกันมากระหว่างข้าราชการกับราษฎร

ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเพียงพอที่จะชี้ให้เห็นความบกพร่องของการจัดระเบียบและการวางนโยบายการปกครองประเทศหลาย ๆ ด้าน และประกอบทั้งอารยธรรมของตะวันตกก็ได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศ พระองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนแปลงและแก้ไขการปกครองในส่วนกลาง ซึ่งเวลานั้นมีเพียง 6 กระทรวง และเพื่อให้เหมาะสมกับกาลสมัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกระทรวงเพิ่มขึ้นอีก 4 กระทรวง เป็น 10 กระทรวง

[แก้ไข] การออกพระราชบัญญัติเลิกทาส


ในบรรดางานทั้งหลายที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ปลดเปลื้องทุกข์ยากของประชาราษฎร์ เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ประชาชนชาวเราทั้งหลายถวายพระนามสัญญาว่า “ปิยมหาราช” นั้น งานเลิกทาสดูเหมือนจะนำหน้างานใด ๆ ทั้งสิ้น

งานขั้นต้นของการเลิกทาสได้เริ่มจริงจังขึ้นใน ปี พ.ศ.2417 โดยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชปรารถในที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เรื่องจะลดเกษียณอายุค่าตัวลูกทาส และจะให้บิดามารดาขายลูกได้ แต่ตามเกษียณอายุ ซึ่งจะตั้งขึ้นใหม่ ห้ามมิให้พ่อแม่ขายลูกเป็นเงินแพงกว่าที่กำหนดไว้ โดยกำหนดค่าตัวทาสไว้อย่างแน่นอนคือ ถ้าเป็นชายให้มีค่าตัว 8 ตำลึง ถ้าเป็นหญิงให้มีค่าตัวเต็ม 7 ตำลึง และเมื่ออายุครบ 21 ปี ให้ขาดจากการเป็นทาสทั้งหญิงและชาย

ในที่สุด พระราชบัญญัติที่แท้จริงทั่วพระราชอาณาจักร คือ มีพระราชบัญญัติทาสรัตนโกสินทร์ ศก 124 (พ.ศ.2448) ในพระราชบัญญัติฉบับนี้เลิกเรื่องลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาสไม่เป็นลูกทาสอีกต่อไป นับแต่วันออกพระราชบัญญัติฉบับนี้ ห้ามการขายตัวลงเป็นทาส การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผุ้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว นายเงินต้องลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด ถ้ามีการโยกย้ายเปลี่ยนนายก็มิให้เพิ่มค่าตัวขึ้น

ต่อมาอีก 3 ปี เมื่อได้ประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญาใน พ.ศ.2451 ก็มีบทบัญญัติวางโทษผู้ซื้อขายทาสเท่ากับโจรปล้นทรัพย์ คือ มีโทษจำคุกถึง 7 ปี

[แก้ไข] การปราบปราบพวกฮ่อ
เหตุการณ์ในสมัยของพระองค์ที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ การปราบฮ่อ ซึ่งพวกฮ่อนี้ก็คือคนจีนนั่นเอง แต่ชาวไทยทางเหนือเรียกว่า “ฮ่อ” ซึ่งจีนพวกนี้ได้ตั้งเป็นคณะขึ้นเรียกว่า “คณะไต้เพ็ง” ได้ก่อการกบฏจะทำลายราชวงศ์แมนจู แต่กองทัพหลวงจีนได้ทำการปราบปราม พวกไต้เพ็งสุ้ไม่ได้จึงหนีถอยลงมาทางทิศใต้ มาตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำในแถบเมืองพวน เมื่อ พ.ศ.2417 แล้วเตรียมจะเข้าตีเมืองหลวงพระบาง ฝ่ายเจ้าเมืองหลวงพระบางกับกรมการเมืองหนองคาย จึงได้ส่งใบบอกมายังกรุงเทพฯ สมเด็จพระปิยมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดกองทัพออกไปทำการปราบปราม

[แก้ไข] การทำนุบำรุงการทหาร
การทหารเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศชาติ จึงได้ทรงโปรดเกล้าให้จัดการทหารตามแบบแผน และฝึกหัดยุทธวินัยของชาติยุโรปที่เจริญแล้ว พระองค์ได้จัดส่งพระราชโอรสออกไปศึกษาวิชาการทหารในทวีปยุโรปเพื่อนำเอาความรู้เข้ามาใช้ในประเทศของเรา พระองค์ได้ทรงประกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการทหารบก และ ทหารเรือขึ้นใน พ.ศ.2430 ได้ตราพระราชบัญญัติจัดการทหารต่อมาใน พ.ศ.2437 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกระทรวงกลาโหมขึ้น และได้ตราพระราชบัญญัติการเกณฑ์ทหารขึ้นใน พ.ศ.2448 เพื่อให้จัดการฝึกหัดอบรมวิชาการทหาร สำหรับป้องกันประเทศซึ่งได้ชั้ตลอดจนถึงสมัยปัจจุบันนี้

นอกจากนี้ สมเด็จพระปิยมหาราช ยังได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันสำคัญอีกหลายประการ อาทิเช่น การรถไฟและส่งเสริมการคมนาคม การจัดระเบียบการเก็บภาษีอากร การตำรวจนครบาลและตำรวจภูธร การโทรเลขและการเสื่อสาร การทำนุบำรุงการศึกษา การก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมรัฐสภาพอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนี้ก็มีการตัดถนน สร้างถนนหนทาง สร้างสะพานข้ามคลอง การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การปฎิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ

ตามที่กล่าวมานี้ เราจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่อารยธรรมสมัยใหม่เหมือนอารยประเทศได้เริ่มขึ้นในสมัยของสมเด็จพระปิยมหาราชนี้ และโดยที่พระองค์ได้ทรงรักใคร่เป็นห่วงในทุกข์สุขของพสกนิกรของพระองค์ยิ่งนัก ฉะนั้น แม้พระองค์จะเสด็จสวรรคตไปนานแล้ว แต่ประชาติไทยก็ยังคงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอยู่อย่างไม่มีวันจืดจากมิเสื่อมคลายและยอ่มจะต้องน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อยู่ต่อไปตลอดกาลนาน......





--------------------------------------------------------------------------------

ขอขอบคุณข้มูลจาก

สิริ เปรมจิตต์ และจิตตสะอาด ศรียงค์. (2514), พระบรมราชจักรีวงศ์ พระบรมฉายาลักษณ์และ พระราชประวัติ 9 รัชกาล. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เสาวภาคและโรงเรียนเทพปัญญา.
วารี อัมไพรวรรณ. (2541), พระมหากษัตริย์และพระบรมราชินีแห่งราชวงศ์จักรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ภัทรินทร์.
คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี. (2528), ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม 2 - รัชกาลที่ 4 – พ.ศ.2475. กรุงเทพฯ.
สุทนต์ ขวัญนคร. ข้าราชฯ สำนักไทย ประมวลภาพประวัติศสตร์สยามประเทศ, กรุงเทพฯ. โฉมหน้าประวัติศาสตร์ ชุด ราชสำนักสยาม, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ “สยาม” พ.ศ.2516
Retrieved from "http://sufficiencyeconomy.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_5"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น