Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มักกะลีผล”




“มักกะลีผล” มีขนาดสัดส่วนเท่ากับหญิงสาวอายุ 16 ปี ใบหน้ารูปไข่ มีเส้นผมยาวสยายเป็นสีทองเหมือนผู้หญิงฝรั่ง ตรงกลางกระหม่อมมีลักษณะเหมือนขั้วผลไม้เทียบได้กับมังคุด นัยน์ตาใหญ่ได้รูป ส่วนที่เป็นนัยน์ตาดำมีประกายระยิบระยับคล้ายเจือเกร็ดทอง นัยน์ตาขาวเป็นสีฟ้าใส จมูกโด่งรับกับปาก ช่วงลำคอ เป็นปล้อง 3 ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า ดูอิ่มเต็มเนียนไปหมด ผิวพรรณหรือผิวหนังตึงเต่งเหมือนผิวมะปรางสุก นิ้วมือเรียวลงไปเหมือนนิ้วมนุษย์ แต่ปลายนิ้วทั้ง 4 ยาวเสมอกัน เว้นหัวแม่มือ หลังมือก็อิ่มเต็มเกลี้ยงเกลา ข้อมือข้อเท้ากลมกลึงไม่มีปุ่มกระดูกเหมือนคนทั่วไป และกลิ่นหอมที่อวลตลบอยู่ในถ้ำ แท้จริงเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ระเหยมาจากมักกะลีผลนี่เอง

เมื่อพระสิงหลเห็นหลวงพ่อจรัญ พิจารณาจนพอใจแล้ว จึงเล่าให้ฟังว่า ท่านได้มักกะลีผลนี้มาจากป่าหิมพานต์ (ป่าหิมพานต์ : ป่าที่อยู่รอบภูเขาหิมาลัย อยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย/จากพจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์โดยพระเทพเวที พ.ศ.2536) มักกะลีผล เป็นต้นไม้ที่ออกดอกมาเป็นพวงๆหนึ่งมี 5 ผล รูปร่างเป็นผู้หญิงสาวทั้งนั้น พอ 7 วันจะหมดอายุร่วงหล่นพร้อมๆกัน

นี่คือความมหัศจรรย์เหนือโลกที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญานมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ได้ไปพบเห็นมักกะลีผล ด้วยตาเนื้อของท่านที่ประเทศศรีลังกา

เมื่อหลวงพ่อจรัญพบเห็นมักกะลีผลที่ประเทศศรีลังกาแล้ว ท่านได้อธิษฐานจิตขอพบมักกะลีผลในประเทศไทย “เหตุมหัศจรรย์” ก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่วัดอัมพวัน

ผู้ครอบครอง “มักกะลีผล” ในไทย

ที่จังหวัดลพบุรี...มีวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนที่ดอนกลางท้องทุ่ง เจ้าอาวาสเป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติชอบ มีศีลาจารวัตรงดงามเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในละแวกนั้น

ชายชราผู้หนึ่งแต่งกายคร่ำคร่า ค่อนไปทางสกปรกสะพายย่ามใบใหญ่ใส่ของไว้จนโป่ง เดินเข้ามาหามนัสการเจ้าอาวาส และพูดว่า “กระผมเดินทางมาไกล จะเดินทางกลับบ้านก็ยังอยู่ไกลเหลือเกิน อยากจะขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าพักทีวัดนี้สัก 7 วัน พอให้มีเรี่ยวแรงก็จะเดินทางต่อไป” ท่านเจ้าอาวาสมีจิตเมตตาจึงเอ่ยปากอนุญาตให้พักที่ศาลา ให้ทายกวัดจัดสำรับกับข้าวมาให้คนจรสูงอายุกินด้วย แต่ทายกทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเห็นเป็นคนสกปรกมอมแมมไม่อยากต้อนรับ เจ้าอาวาสจึงเป็นผู้จัดการเสียเอง

เมื่อครบกำหนด 7 วัน ชายชราก็มาหาเจ้าอาวาสบอกว่าขอนมัสการกราบลา และ ขอบพระคุณที่ท่านเจ้าอาวาสที่เมตตาให้กินอยู่หลับนอนตลอด 7 วัน ท่านเจ้าอาวาสก็ยิ้มแย้มไม่ว่ากระไรและมีน้ำใจเดินไปส่งจนถึงประตูหลังวัด ก่อนจะออกนอกเขตวัด ชายชราคนจรได้มนัสการท่านเจ้าอาวาส แล้วกล่าวว่า “พระคุณเจ้าเป็นผู้มีเมตตา กระผมอยากจะทดแทนพระคุณของท่าน ก่อนอื่นกระผมขอเตือนพระคุณเจ้าว่า หากมีความต้องการจะทำอะไรเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้รีบลงมือทำทันทีให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี หลังจากนี้พระคุณเจ้าจะไม่ได้อยู่ทีวัดนี้แล้ว ประการต่อมากระผมขอถวายสิ่งที่อยู่ในย่ามนี้ให้พระคุณเจ้าเก็บรักษาไว้ ถือว่าเป็นสิ่งแทนน้ำใจของกระผมก็แล้วกัน” ชายชราคนจรปล่อยย่ามจากหัวไหล่และมอบให้ท่านเจ้าอาวาสแล้วก็กราบลาไป สมภารเจ้าอาวาสเปิดย่ามดูเห็นของประหลาดอยู่ในย่ามมีกระดาษเขียนข้อความว่า “มักกะลีผล 2 ผลนี้ ข้าพเจ้าได้มาจากป่าหิมพานต์ เป็นของฝากของขวัญมอบให้สมภารไว้ที่นี่” นอกจากนั้นยังทำนายเหตุการณ์และสั่งความไว้อีกพอควร เมื่อท่านสมภารเห็นมักกะลีผลและข้อความที่เขียนไว้เป็นอัศจรรย์ จึงตะโกนเรียกคนในวัดให้วิ่งไปตามชายชราคนจรกลับมาโดยเร็ว ลูกศิษย์วัดก็รีบลนลานออกประตูหลังวัดไปทันที ทั้งที่ชายชราผู้นั้นเดินจากไปไม่นานและบริเวณหลังวัดก็เป็นทุ่งนาโล่งไปตลอดสุดสายตา แต่ลูกศิษย์ที่วิ่งไปตามชรากลับไม่เห็นใครเลย ราวกับชายชราผู้นั้นหายตัวไปเสียแล้ว เมื่อท่านสมภารกลับมาดูยังที่พักของชายชรา เสื่อหมอนที่ใช้นอน ใช้หนุน แทนที่จะเหม็นสาบ เพราะผู้ใช้สกปรกซอมซ่อเหลือกำลัง กลับระเหยกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นธูปเทียนและน้ำมันจันทน์ตลบอบอวล

ท่านเจ้าอาวาสได้เก็บรักษามักกะลีผลไว้อย่างมิดชิด แล้วเร่งสร้างกุฏิกรรมฐานจนแล้วเสร็จ เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีสำหรับท่าน เมื่อครบเวลา 4 ปี เจ้าอาวาสก็ถึงแก่มรณภาพ เป็นไปตามคำของชายชราคนจรซึ่งเคยเตือนไว้

เจ้าอาวาสรูปนี้บวช 2 ครั้ง บวชครั้งแรกตามประเพณี แล้วก็สึกออกไปเป็นฆราวาส มีครอบครัวลูกเมียไปตามปกติ ครั้นอายุมากขึ้นเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตทางโลก จึงได้กลับมาบวชอีก กระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด ลูกชายของท่านเจ้าอาวาสองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญตั้งแต่เล็กๆ หลวงพ่อได้อุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียนหนังสือและบวชให้ เมื่อเป็นพระภิกษุก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดอัมพวัน จนกระทั่งสึกหาลาเพศไป เมื่อท่านสมภารมรณภาพ ลูกชายก็ไปทำศพ ไปได้มักกะลีผล 2 ผล ของหลวงพ่อสมภารกลับมา แล้วนำมาถวายให้หลวงพ่อจรัญ

อธิษฐานจิตที่หลวงพ่อจรัญได้กำหนดไว้ที่ภูเขาสีคิริยา ได้ปรากฏเป็นอัศจรรย์ขึ้นแล้วที่วัดอัมพวัน

หลวงพ่อจรัญได้เก็บรักษามักกะลีผลนี้ไว้เงียบๆ ขณะเดียวกันก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของมักกะลีผลตามกฎอนิจจังเป็นลำดับ ธรรมชาติของมักกะลีผลเป็นพืชผล แม้จะอุบัติขึ้นด้วยความมหัศจรรย์เหนือโลก ก็ไม่อาจหนีพ้นความเสื่อมไปได้ คราวแรกที่หลวงพ่อจรัญได้รับมักกะลีผลทั้งสองผลมานั้น ยังมีขนาดใหญ่พอควร ต่อมาก็ค่อยๆ แห้งเฉาลดขนาดลงไปเรี่อยๆ จนกระทั่งเหลือความสูงประมาณ 10 นิ้วฟุต และเมื่อแห้งเฉาถึงสุดแล้ว ก็เหลือเพียงรูปถ่ายซึ่งได้บันทึกเก็บไว้เท่านั้น




หมายเหตุ:
อ้างอิง : นที ลานโพธิ.รวมเรื่องอัศจรรย์. กรุงเทพฯ: ฉัตรแก้ว,2542
ที่มา: http://kachin.biz/main/modules.php?n...article&sid=68

พยานโลกร้อน







เมื่อมองแวบแรกจากเบื้องบน กรีนแลนด์คือผืนแผ่นดินกว้างใหญ่สีขาวโพลน แต่เมื่อเฮลิคอปเตอร์ที่ผมนั่งมาด้วยโฉบลงใกล้เกาะ สีสันต่างๆก็ผุดโผล่ขึ้นมา ทางน้ำสีน้ำเงินที่เกิดจากน้ำแข็งละลายลัดเลาะไปตามขอบพืดน้ำแข็งเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ทุ่งน้ำแข็งสีขาวมีแม่น้ำไหลคดเคี้ยวและหุบเหวแทรกตัวอยู่เป็นระยะๆ บางช่วงเกิดเป็นทะเลสาบน้อยใหญ่ แล้วยังมีน้ำแข็งที่ดูจะไม่ใช่ทั้งสีขาวและสีน้ำเงิน แต่ออกไปทางสีน้ำตาลหรือกระทั่งกะดำกะด่างจากสารไครโอโคไนต์ (cryoconite) น้ำแข็งสีตุ่นๆนี้เป็นหัวใจสำคัญของการเดินทางมาศึกษาหาคำตอบของเพื่อนร่วมทีมสำรวจ ทั้ง 4 คนของผม อันได้แก่ เจมส์ บาลอก ช่างภาพ กับแอดัม เลอวินเทอร์ ผู้ช่วย และมาร์โก เตเดสโก นักธรณีฟิสิกส์ กับนิก สไตเนอร์ นักศึกษาระดับปริญญาเอก สองคนหลังนี้มาจากวิทยาลัยซิตีคอลเลจออฟนิวยอร์ก

บาลอกถ่ายภาพน้ำแข็งและสภาพซึ่งไร้น้ำแข็ง เขาเป็นผู้ก่อตั้งโครงการสำรวจน้ำแข็งสุดขั้ว หรืออีไอเอส (Extreme Ice Survey: EIS) ขึ้นเมื่อปี 2006 โดยมีวัตถุประสงค์ “เพื่อสร้างความทรงจำของสิ่งที่กำลังลบเลือนไป” ที่ผ่านมา อีไอเอสได้ติดตั้งกล้องถ่ายภาพมากกว่า 35 ตัวที่ทำงานโดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์และสามารถปฏิบัติงานท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายอย่างพายุหิมะ เพื่อบันทึกภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลับธารน้ำแข็งในอะแลสกา มอนแทนา ไอซ์แลนด์ และกรีนแลนด์ กล้องเหล่านี้จะเก็บภาพอย่างช้าๆและต่อเนื่อง (time-lapse) โดยทำหน้าที่ “เหมือนดวงตาเล็กๆที่คอยจับตาดูโลกแทนเรา” บาลอกเปรียบเปรย

เราตั้งแคมป์บนผืนแผ่นดินห่างจากหมู่บ้านอีลูลิสแซตบนชายฝั่งตะวันออกไป 70 กิโลเมตร ในบริเวณที่เป็นส่วนหนึ่งของเขตน้ำแข็งละลาย (melt zone) ของกรีนแลนด์ ที่ซึ่งการละลายของพืดน้ำแข็งชั้นบนสุดเผยให้เห็นสิ่งที่เรียกกันว่า น้ำแข็งสีน้ำเงิน (blue ice) น้ำแข็งเก่าแก่นี้ถูกบีบอัดจนถึงจุดที่ฟองอากาศส่วนใหญ่ถูกบีบออกมา เมื่อมีฟองอากาศน้อยลง น้ำแข็งก็จะดูดซับแสงสีแดงตรงปลายสเปกตรัม เหลือไว้แต่แสงสีน้ำเงินสะท้อนออกมา

แคมป์ของเราตั้งอยู่ข้างทะเลสาบน้ำหิมะละลาย (meltwater lake) ขนาดใหญ่ เตเดสโกและสไตเนอร์ศึกษาระดับความลึกของทะเลสาบ เพื่อนำข้อมูลไปเปรียบเทียบกับค่าระดับความลึกของทะเลสาบเหนือธารน้ำแข็ง (supraglacial lake) ในกรีนแลนด์ที่ได้จากดาวเทียม ทุกๆเช้าทั้งสองจะนำเรือเล็กออกไปเก็บข้อมูล เรือลำนี้ติดตั้งอุปกรณ์อย่างเครื่องควบคุมจากระยะไกล โซนาร์ สเปกโทรมิเตอร์ที่สั่งงานผ่านแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ จีพีเอส เทอร์โมมิเตอร์ และกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ

ทะเลสาบน้ำหิมะละลายของกรีนแลนด์อาจมีระดับน้ำลดต่ำลงอย่างรวดเร็วและคาดการณ์ไม่ได้เป็นครั้งคราว บาลอกเองเคยเห็นทะเลสาบลดระดับลงชั่วข้ามคืน เมื่อก้นปล่องน้ำแข็งหรือที่เรียกว่าระแหงน้ำธารน้ำแข็ง (moulin – รอยแตกระแหงบนผิวธารน้ำแข็ง) แยกตัวออกพร้อมกับดูดน้ำทะเลสาบลงสู่ก้นธารน้ำแข็ง

เมื่อปี 2006 ทีมนักวิทยาศาสตร์บันทึกการลดระดับลงของทะเลสาบเหนือธารน้ำแข็งขนาด 5 ตารางกิโลเมตรไว้ได้ เมื่อน้ำปริมาตรมากกว่า 40 ล้านลูกบาศก์เมตรอันตรธานไปในระแหงน้ำธารน้ำแข็งภายในเวลา 84 นาที ซึ่งเป็นอัตราการไหลที่เร็วยิ่งกว่าน้ำตกไนแอการาเสียอีก

ทะเลสาบน้ำหิมะละลายที่เตเดสโกศึกษาอยู่มีทางระบายน้ำไปสู่ระแหงน้ำธารน้ำแข็ง เลอวินเทอร์กับผมตั้งใจว่าเราต้องหาระแหงน้ำธารน้ำแข็งที่ว่านี้ให้พบ พวกเราออกสำรวจพร้อมขวานเจาะน้ำแข็ง สกรูเจาะน้ำแข็ง และเชือกจำนวนหนึ่ง เรายังเดินทางไปได้ไม่ถึงครึ่งกิโลเมตรดีตอนที่พบหลุมในน้ำแข็งขวางทางไว้ จนเราต้องกระโดดข้ามหลุมที่มีเพียงขอบน้ำแข็งบางๆคั่นไว้

เราตัดสินใจใช้อีกเส้นทางหนึ่ง ถึงตอนนี้ เราเดินทางข้ามพืดน้ำแข็งมาได้หลายกิโลเมตรแล้ว แต่ก็ยังหาระแหงน้ำธารน้ำแข็งไม่พบ ทว่าเราสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่น่าทึ่ง นั่นคือในตอนขามานั้น หลุมหลายหลุมที่เรากระโดดข้ามมีลักษณะเป็นหลุมกลมๆ แยกตัวไม่ติดกัน แต่เพียงครึ่งวันให้หลัง น้ำแข็งละลายมากพอจนทำให้หลุมเหล่านั้นเชื่อมต่อกันด้วยธารน้ำไหลรี่และกลายเป็นแอ่งขนาดใหญ่

พอกลับถึงแคมป์ในคืนวันนั้น เราก็พบสิ่งที่เตเดสโกและสไตเนอร์ยืนยันว่าอยู่ตรงก้นทะเลสาบน้ำหิมะละลาย นั่นคือชั้นไครโอโคไนต์ที่ปกคลุมอยู่อย่างไม่สม่ำเสมอ

ไครโอโคไนต์กำเนิดจากตะกอนที่ลมพัดพามาและแพร่กระจายอยู่บนน้ำแข็ง องค์ประกอบมีทั้งฝุ่นแร่ (mineral dust) ที่ลอยมาไกลจากทะเลทรายในแถบเอเชียกลาง อนุภาคจากการระเบิดของภูเขาไฟ และเขม่าควัน อนุภาคของเขม่านั้นมาจากทั้งไฟป่าตามธรรมชาติและไฟที่มนุษย์ก่อขึ้น เครื่องยนต์ดีเซล และโรงไฟฟ้าถ่านหิน นักสำรวจอาร์กติกนาม นิลส์ เอ. อี. นูร์เดนเชิลด์ เป็นผู้ค้นพบและตั้งชื่อให้กับฝุ่นผงละเอียดสีน้ำตาลเหล่านี้ระหว่างไปเยือนพืดน้ำแข็งกรีนแลนด์เมื่อปี 1870 กิจกรรมของมนุษย์ทำให้ปริมาณเขม่าสีดำในไครโอโคไนต์เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ยุคของนูร์เดนเชิลด์เป็นต้นมา และภาวะโลกร้อนก็ทำให้การศึกษาเรื่องไครโอโคไนต์มีความสำคัญมากขึ้น

คาร์ล เอเย บอกกิลด์ เป็นชาวกรีนแลนด์โดยกำเนิด และนักธรณีฟิสิกส์ผู้ศึกษาพืดน้ำแข็งที่นี่มาตลอด 28 ปีที่ผ่านมา เมื่อไม่นานมานี้ เขาหันมาสนใจไครโอโคไนต์เป็นพิเศษ โดยบอกว่า “ถึงแม้ว่าไครโอโคไนต์จะมีเขม่าเป็นองค์ประกอบไม่ถึงร้อยละห้า แต่เขม่าพวกนี้แหละครับที่ทำให้มันกลายเป็นสีดำ” สีที่เข้มดำส่งผลให้อัตราส่วนรังสีสะท้อน (albedo) หรือการสะท้อนแสงของน้ำแข็งลดลง ทำให้น้ำแข็งดูดซับความร้อนได้มากขึ้นจึงละลายเร็วขึ้น

แต่ละปีมีทั้งหิมะและละอองไครโอโคไนต์ที่ตกลงบนพืดน้ำแข็ง เมื่อหิมะทับถมและแข็งตัว มันจะดักจับฝุ่นละอองไว้ ในช่วงที่ฤดูร้อนมีอากาศอบอุ่นกว่าปกติเช่นหลายปีที่ผ่านมา ชั้นน้ำแข็งละลายที่ทับถมกันหลายชั้นจะปลดปล่อยไครโอโคไนต์ที่ถูกดักจับไว้ออกมามากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดชั้นไครโอโคไนต์ที่หนาแน่นและมีสีเข้มมากขึ้นบนพื้นผิวน้ำแข็ง บอกกิลด์บอกว่า “สิ่งที่เกิดตามมาคือวัฏจักรการละลายที่เร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

แม้เราจะออกสำรวจเป็นเวลาสั้นๆ แต่ดูเหมือนว่าเราได้เห็นผลกระทบนั้นกับตา ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว น้ำแข็งละลายทำให้แคมป์ของเราแปรสภาพเป็นพรุที่เจิ่งนองไปด้วยหิมะละลาย ไกลออกไป ทะเลสาบน้ำหิมะละลายไหลลงสู่ระแหงน้ำธารน้ำแข็งที่เรามองหาอยู่ กล้องถ่ายภาพที่บาลอกติดตั้งไว้จับภาพปรากฏการณ์นี้ไว้ได้ทั้งหมด

ก่อนที่การสำรวจจะสิ้นสุดลง บาลอกชักชวนผมให้ไต่ลงไปยังระแหงน้ำธารน้ำแข็งที่อยู่ถัดจากแคมป์ของเราซึ่งเป็นระแหงน้ำธารน้ำแข็งใหญ่พอที่จะกลืนกินขบวนรถขนสินค้าได้ทั้งขบวน แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะไต่ลงไปตามปากหุบเหวที่บาลอกตั้งชื่อให้ว่า “เจ้าสัตว์ร้าย”

ผมหย่อนตัวลงไปตามเชือกที่มีน้ำแข็งเกาะ ลึกลงไป 30 เมตรในปล่อง ผนังน้ำแข็งสีน้ำเงินโอบล้อมผมไว้ และเนื้อตัวผมก็เปียกโชกด้วยละอองน้ำเย็นเฉียบ ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนของอาร์กติกมีน้ำแข็งย้อยเป็นหยักๆสูงเท่าตึกสามชั้นล้อมกรอบไว้ เบื้องล่างคือน้ำตกที่ถั่งโถมครืนครั่นลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง

ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ทดลองหย่อนเป็ดยางสีเหลืองหลายตัว ลูกบอลติดเซนเซอร์ และสีย้อมปริมาณมากลงไปในระแหงน้ำธารน้ำแข็ง เพื่อตามรอยการเดินทางของพวกมันและค้นหาว่า ระแหงน้ำธารน้ำแข็งสิ้นสุดตรงจุดใดตามแนวชายฝั่งกรีนแลนด์ ลูกบอลและสีย้อมยังมีผู้พบเห็นบ้าง แต่เป็ดยางนั้นหายลับ ผมอยากจะหย่อนตัวลงไปอีกสักหน่อยเพื่อสำรวจลึกลงไป แต่ก็ยับยั้งชั่งใจไว้ และแล้วหลังจากห้อยโหนอยู่บนเชือกนาน 20 นาที ผมก็ตัดสินใจปีนกลับขึ้นมา



อ่านเรื่องราวทั้งหมดอย่างจุใจได้จาก นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตำนานผีฟ้า


ผีฟ้า

ผีฟ้า คือคำเรียก เทวดา ของชาวไทยในภาคเหนือ และภาคอีสาน เป็นการบูชาแบบพื้นบ้านที่มีการนับถือผีกัน

คนที่เป็นร่างทรงของผีฟ้าจะสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นในลูกๆ ที่เป็นผู้หญิง เมื่อมีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวบ้านมักนำมาให้ผีฟ้าเสี่ยงทาย และช่วยรักษา ผีฟ้าจึงเป็นประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ และการทรงเจ้าเข้าผีของสังคมดั้งเดิมของคนไทย

ตำนานผีฟ้า

ชาวอีสานมีความเชื่อถือต่อ "ผี" มาก เพราะมีความเชื่อว่าเหตุที่เกิดเภทภัยเจ็บไข้ได้ป่วย น้ำท่วม ฝนแล้งนาล่ม หรือพืชพันธุ์ ธัญญาหารเหี่ยวแห้ง เป็นสิ่งที่เกิดมาจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของผีสางเทวดาทั้งสิ้น พวกเขาจึงเซ่นไหว้บวงสรวงผีต่างๆ และมีสิ่งที่หน้าสังเกตคือ ทุกครั้งที่มีการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกๆ ฤดูกาล แล้วจะเกิดแต่ความสุขไปทั่ว ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาย ข้าวกล้าในนาก็อุดม สมบูรณ์ดี และการที่มีคติความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็ทำให้เกิดประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีหลายลักษณะ และพีธีบูชา ผีฟ้า ก็เป็นอีกพิธีหนึ่ง

ผีฟ้า หรือ ผีแถน นั้น ชาวอีสานมีความเชื่อว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นผี ผีฟ้าจึงเป็นผีที่อยู่ระดับสูงกว่าผีชนิด อื่นๆ ส่วนแถนนั้น มีความเชื่อว่าเป็นคำเรียกรวมถึงเทวดา และแถนที่ใหญ่ที่สุดคือ "แถนหลวง" ซึ่ง เชื่อว่าเป็นพระอินทร์ ผีฟ้าหรือผีแถนนั้นแต่ละพื้นที่มีการเรียกที่แตกต่างกันไป และมีความเชื่อว่า ผีฟ้า นั้นสามารถที่จะ ดับยุคเข็ญหรือทำลายล้างอุปสรรคทั้งปวงได้ และสามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อนได้ การที่มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยนั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผี การละเมิดต่อบรรพบุรุษ การรักษาต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรง เรียกว่า "ผีฟ้า นางเทียน" ในการลำผีฟ้าของชาวอีสานนั้นมีองค์ประกอบ ทั้งหมด ๔ ส่วนคือ หมอลำ ผีฟ้า หมอแคน ผู้ป่วย และเครื่องคาย

หมอลำผีฟ้า จะ เป็นผู้หญิงที่มีอายุหรือบางท้องถิ่นจะเป็นผู้หญิงสาว โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย และจะต้องสืบเชื้อสายมาจาก กลุ่มหมอลำผีเท่านั้น แต่ที่จริงผีฟ้าสามารถสิงได้ทั้งหญิง ชาย และเด็ก โดยไม่จำกัดอายุ หมอแคน (หมอม้า) จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป่าแคนมาเป็นอย่างดี เพราะในการประกอบพิธีจะต้องใช้เวลานาน จะต้องมีการเป่าอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยนั้น จะต้องแต่งกายตามที่ได้กำหนดไว้ คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้าพาดบ่า มีดอกมะละกอ ซึ่งตัดร้อยเป็นพวงทัดหู ผู้ป่วยนั้นสามารถที่จะฟ้อนรำกับหมอลำได้.. และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญครูอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วย

ในการรำผีฟ้านั้น จะมีความแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น เมื่อครูบาเก่าเข้าสิงร่าง ผู้ทำพิธีจะต้องสวมผ้าซิ่นทับผ้าที่สวมอยู่ (กรณีที่ผู้ป่วยเป็นชาย) หรือถ้าผู้ป่วยเป็นผู้หญิงครูบาจะสวมผ้าแพรหรือผ้าฝ้าย โดยสวมทับผ้านุ่งเดิม ซึ่งจะจัดไว้อยู่ใกล้เครื่องคาย ในการรักษาทุกคนจะต้องฟ้อนรำ กันทุกคน และขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยต้องการดูการฟ้อนรำก็จะทำหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่ต้องการ ครูบาก็จะนำเครื่องคายขึ้นไปเก็บบนหิ้ง และจะมาร่วมกันรับประทานอาหาร

ความ เชื่อของชาวอีสานเชื่อว่า ผีฟ้าสามารถที่จะกำหนดการเกิดการตายของมนุษย์ได้ การที่มนุษย์ตายไปขวัญจะออกจากร่าง เพื่อไปพบบรรพชน แต่ขวัญจะไม่แตกดับเหมือนร่าง เป็นเพียงการจากไปของร่างแต่วิญญาณยังคงอยู่กับผู้มีชีวิต สาเหตุที่มีการฟ้อนรำกันนั้น ก็เพื่อเป็นการทำให้คนไข้มีพลังจิตในการต่อสู้กับการเจ็บป่วย มีอารมณ์ผ่อนคลาย ความตึงเครียด จิตใจปลอดโปร่ง ไร้วิตกกังวล และสร้างจิตสำนึกด้านความกตัญญู เป็นคตินิยมของวัฒนธรรมไทย ซึ่งได้สืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็น ประเพณี จะเห็นว่าผีฟ้านั้น เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ โดยมีคติเตือนใจว่า "คนไม่เห็น ผีเห็น"

สำหรับ ทุกวันนี้ การรำผีฟ้าดูจะเสื่อมคลายลงไป เพราะความเจริญทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่สำหรับ ชาวอีสานบางกลุ่ม การกระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับผีฟ้า ไม่ใช่เป็นสิ่งงมงายเหลวไหลหรือไร้สาระสิ้นเชิงเสียทีเดียว...

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซี












ประวัติศาสตร์ยุโรปโบราณมีปรากฎว่าชนชาติยิวคือ ชนหมู่น้อยชั้นต่ำระดับทาสแรงงาน ทำให้ถูกดูแคลนและกลั่นแกล้งเรื่อยมา แต่กระนั้นความเคร่งครัดศรัทธาที่มีต่อศาสนายิวได้กลายเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งชนชาติและเป็นโล่ต้านชะตากรรมอยู่เสมอ เมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคคริสต์ศาสนาเรืองอำนาจ ชาวยิวในยุโรปกลับยิ่งถูกเกลียดชังมากยิ่งขึ้น ด้วยการถูกประนามว่า คนยิวคือผู้ทรยศ ยิวคือ "ผู้สังหารพระคริสต์" กระแสความเกลียดชังต่อต้านคนยิว [anti-Semitism] ไหลซึมผ่านกาลเวลามาตลอดประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นตัวสร้างกระแสการเกลียด “ ยิว” จนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว ต่อมาจนมาถึงศตวรรษที่19 ประเทศเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง Adolph Hitler (1898-1945) ผู้นำพรรคนาซีเริ่มแผนรณรงค์ต่อต้านคนยิวอย่างเป็นระบบ เริ่มด้วยการนิยามคำว่า " คนยิว" ตามสายพันธุ์ อันเป็นการโหมโรงของกฎหมายและคำสั่งต่อต้านคนยิวโดยเฉพาะที่จะมีตามมาอีกนับ ไม่ถ้วน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 Adolph Hitler ได้เริ่มเคลื่อนย้ายชาวยิวไปแออัดรวมกันอยู่ในเขตที่เรียกว่า"ghetto" [เก็ตโต้] มีการสร้างกำแพงและล้อมรั้วลวดหนามแน่นหนา กลายเป็นเขตสลัมจากผลทางการเมืองที่มีสภาพแร้นแค้นอัตคัด ถูกจำกัดสิทธิ์ในทุกด้าน สินค้าที่ผ่านตลาดมืดเข้ามาในเขตกักกันมีราคาสูงลิบลิ่ว ต่อมาถูกเรียกว่า "death camp" หรือ "ค่ายมรณะ" เหล่านี้ เป็นค่ายที่ถูกสร้างขึ้นบนแผ่นดินประเทศโปแลนด์ในระหว่างถูกยึดครอง มีห้องที่ทำขึ้นพิเศษสำหรับรมแก๊สพิษเพื่อการสังหารโดยที่เหยื่อจะไม่ทราบล่วงหน้าเลย ทหาร นาซีจะนำตัวผู้ถูกกักกันไปยังห้องที่มีลักษณะคล้ายห้องอาบน้ำรวม มีฝักบัวติดไว้ให้อาบ ทุกคนจะได้รับแจ้งว่ากำลังจะถูกทำการชำระล้างเพื่อฆ่าเชื้อโรค หลังจากเสียชีวิตจากแก๊สพิษหมดแล้ว ศพจึงถูกนำไปกองเผาในโรงเผาอีกทีหนี่ง คนยิวที่ยังเหลืออยู่ภายนอก มักจะมองปล่องควันไฟเหล่านี้ด้วยความสงสัยผสมกับความกลัวโดยที่ไม่ทราบถึงความตายที่กำลังรออยู่นี้





เส้นผมของยิวจะถูกโกนออกทุกคน เพื่อนำไปใช้ในการทอเป็นพรม

เมื่อสงครามสงบลงในปี 1945 เหตการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของนาซีเยอรมนีต่อคนยิวครั้งนี้ ถูกเรียกว่า Holocaust ["การเผาผลาญจนสิ้น"] มีผู้ประมาณว่า จำนวนตัวเลขคนตายจากการนี้มีถึงเกือบ 6 ล้านคน ราว 3 ล้านคนถูกฆ่าในค่ายกักกันมรณะ ราว 1.4 ล้านคนถูกยิงตาย และอีก 6 แสนคนต้องตายเพราะทนสภาพในเขตกักกันไม่ไหว แม้ ว่าจะมีผู้ตกเป็นเหยื่อในการฆาตกรรมหมู่ด้วยจำนวนที่มากมายเพียงนี้ แต่กว่าที่จะมีความพยายามในการค้นหาหลักฐานและสืบหาความจริงอย่างจริงจังของ เหตุการณ์ Holocaustกลับต้องใช้เวลาถึงเกือบยี่สิบปี มิเช่นนั้น เรื่อง นี้อาจจะต้องกลายสภาพไป เหลือเป็นเพียงตำนานที่มิอาจพิสูจน์ได้ว่าจริงเนื่องจากหลักฐานพยานส่วนใหญ่ มักจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของพยานชาวยิวที่สามารถเอาชีวิตรอดพ้นมาได้เท่านั้น



เสื้อผ้าจำนวนมหาศาล จากค่ายกักกันในโปแลนด์

สภาพของชาวยิวในค่ายกักกัน buchenwald

เหตุการณ์นี้เป็นการกระทำที่มองมนุษย์ว่ามีค่าต่ำกว่า โดยพวกยิวถูกฆ่าอย่างเ***่ยมโหทารุณ ซึ่งเป็นการกระทำที่เหมือนมิใช่มนุษย์ เหตุการณ์ นี้เมื่อได้เปิดเผยออกสู่สาธารณชน สร้างความสะเทือนใจอย่างมากจนนำไปสู่การออกปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน คุ้มครอง ส่งเสริม สิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ทุกคนมีได้อย่างเท่าเทียมกันและเสมอภาคกัน โดยที่คนอื่นไม่สามารถจะมาละเมิดได้

ในสมัยนั้นในความคิดของ ชาวนาซี คิดว่า ชาวยิว ไม่ใช่มนุษย์จึงได้กระทำการเช่นนี้ แล้วหลังจากนั้นจึงได้มีการ เรียกร้องและพูดถึงเรื่องของ "สิทธิมนุษยชน" และแผนการที่จะล้มล้าง ผู้นำนาซี ด้วย.



ใหนักโทษโกนผมกันเอง เปลื้องผ้าของผู้มาใหม่ สภาพไม่ต่างจากสัตว์ เปลือยกายต่อหน้าทหาร



ออกจากห้องแก้ส

หมายเหตุ จุดเริ่มต้นของ คำว่า สิทธิมนุษยชน(Human Rights) หมาย ถึง สิทธิของความเป็นมนุษย์ ในอดีตยังไม่เป็นที่แพร่หลาย จนภายหลังที่ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติแล้ว คำว่า สิทธิมนุษยชน จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ในกฎบัตรสหประชาชาติได้กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้หลายแห่ง เช่นในอารัมภบท ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของสหประชาชาติไว้ว่า
“เพื่อเป็นการยืนยันและให้การรับรองถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ในศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษยชาติ"



ยิงซ้ำให้แน่ใจว่าตายจริง





จำนวนผู้เสียชีวิต

จำนวนที่แน่นอนของผู้ที่เสียชีวิตจากน้ำมือของนาซีอาจจะไม่มีใครล่วงรู้ แต่เชื่อว่ามีจำนวนผู้เคราะห์ร้าย ดังนี้

5-6 ล้านคน เป็นชาวยิว ซึ่งประกอบด้วยชาวโปแลนด์ที่เป็นยิว 3 ล้านคน
1.8-1.9 ล้านคน เป็นชาวคริสเตียนและผู้คนที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่ต่อต้านพรรคนาซีและถูกนาซียึดครอง
200,000-800,000 คน เป็นชาวโรมันและชาวยิปซี
200,000-300,000 คน เป็นผู้ที่ไม่มีประโยชน์ในการใช้แรงงาน
80,000-200,000 คน เป็นผู้ที่มาจากสมาคมของยุโรปที่ต่อต้านการกระทำของพรรคนาซี
100,000 คน เป็นผู้ที่นับถือลัทธิคอมมิวนิสต์
10,000-25,000 เป็นพวกรักร่วมเพศ
2,500-5,000 เป็นชาวคริสเตียน นิกายพยานของพระยโฮวา (Jehovah's Witnesses)


รูล ฮิลเบิร์ก เจ้าของผลงานหนังสือ The Destruction of the European Jews (การสังหารชาวยุโรปเชื้อสายยิว) คาดว่ามีชาวยิวทั้งหมด 5.1 ล้านคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การล้างชาติพันธุ์ของนาซี จากสถิติกล่าวไว้ว่า มากกว่า 8 แสนคน เสียชีวิตจากบริเวณเกท-โทและความขาดแคลน, 1.4 ล้านคนเสียชีวิตเพราะถูกยิงทิ้งกลางแจ้ง และมากกว่า 2.9 ล้านคน เสียชีวิตอยู่ในค่ายกักกันนั้นเอง ฮิลเบิร์กประมาณการว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตในประเทศโปแลนด์เป็นจำนวนมากกว่า 3 ล้านคน ตัวเลขที่ฮิลเบิร์กนำมาพิจารณานี้ได้มาจากบันทึกเท่าที่หาได้ จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อารยธรรมจีน



อารยธรรมจีน ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่าอารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือ การสร้างระบบภาษาเขียน และการพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไป ในบางครั้งก็ถูกปกครองโดยชนชาติอื่น วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพ การค้า และการยึดครอง
อารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีแหล่งอารยธรรมที่สำคัญ 2 แหล่ง คือ
• ลุ่มแม่น้ำฮวงโห พบความเจริญที่เรียกว่า วัฒนธรรมหยางเชา ( Yang Shao Culture ) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ เครื่องปั้นดินเผาเป็นลายเขียนสี มักเป็นลายเรขาคณิต พืช นก สัตว์ต่างๆ และพบใบหน้ามนุษย์ สีที่ใช้เป็นสีดำหรือสีม่วงเข้ม นอกจากนี้ยังมีการพิมพ์ลายหรือขูดสลักลายเป็นรูปลายจักสาน ลายเชือกทาบ
• ลุ่มน้ำแยงซี ( Yangtze ) บริเวณมณฑลชานตุงพบ วัฒนธรรมหลงซาน ( Lung Shan Culture ) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ เครื่องปั้นดินเผามีเนื้อละเอียดสีดำขัดมันเงา คุณภาพดีเนื้อบางและแกร่ง เป็นภาชนะ 3 ขา
สมัยประวัติศาสตร์ของจีนแบ่งได้ 4 ยุค
• ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชาง สิ้นสุดสมัยราชวงศ์โจว
• ประวัติศาสตร์สมัยจักรวรรดิ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น จนถึงปลายราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
• ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มปลายราชวงศ์เช็งจนถึงการปฏิวัติเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม
• ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เริ่มตั้งแต่จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน
อารยธรรมจีนในสมัยราชวงศ์ต่างๆ มีดังนี้
• ราชวงศ์ชาง เป็นราชวงศ์แรกของจีน
 มีการปกครองแบบนครรัฐ
 มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้เป็นครั้งแรก พบจารึกบนกระดองเต่า และกระดูกวัว เรื่องที่จารึกส่วนใหญ่เป็นการทำนายโชคชะตาจึงเรียกว่า “กระดูกเสี่ยงทาย”
 มีความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ
• ราชวงศ์โจว
 แนวความคิดด้านการปกครอง เชื่อเรื่องกษัตริย์เป็น “โอรสแห่งสวรรค์ สวรรค์มอบอำนาจให้มาปกครองมนุษย์เรียกว่า “อาณัตแห่งสวรรค์
 เริ่มต้นยุคศักดินาของจีน
 เกิดลัทธิขงจื๊อ ที่มีแนวทาง
 เป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
 เน้นความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของผู้คนในสังคม ระหว่างจักรพรรดิกับราษฎร บิดากับบุตร พี่ชายกับน้องชาย สามีกับภรรยา เพื่อนกับเพื่อน
 เน้นความกตัญญู เคารพผู้อาวุโส ให้ความสำคัญกับครอบครัว
 เน้นความสำคัญของการศึกษา
 เกิดลัทธิเต๋า โดยเล่าจื๊อ ที่มีแนวทาง
 เน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนพิธีรีตองใดใด
 เน้นปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ
 ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี และจิตรกรจีน
 คำสอนทั้งสองลัทธิเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน
• ราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน
 จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่สามารถรวมดินแดนของจีนให้เป็นจักรวรรดิ เป็นครั้งแรกคือ พระเจ้าชิวั่งตี่ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นผู้ให้สร้าง กำแพงเมืองจีน
 มีการใช้เหรียญกษาปณ์ มาตราชั่ง ตวง วัด
• ราชวงศ์ฮั่น
 เป็นยุคทองด้านการค้าของจีน มีการค้าขายกับอาณาจักรโรมัน อาหรับ และอินเดีย โดยเส้นทางการค้าที่เรียกว่า เส้นทางสายไหม ( Silk Rood )
 ลัทธิขงจื๊อ คำสอนถูกนำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ
 มีการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการเรียกว่า จอหงวน
• ราชวงศ์สุย
 เป็นยุคแตกแยกแบ่งเป็นสามก๊ก
 มีการขุดคลองเชื่อมแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซี เพื่อประโยชน์ในด้านการคมนาคม
• ราชวงศ์ถัง
 ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมจีน นครฉางอานเป็นศูนย์กลางของซีกโลกตะวันออกในสมัยนั้น
 พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง พระภิกษุ (ถังซำจั๋ง) เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎก ในชมพูทวีป
 เป็นยุคทองของกวีนิพนธ์จีน กวีคนสำคัญ เช่น หวางเหว่ย หลี่ไป๋ ตู้ฝู้
 ศิลปะแขนงต่างๆมีความรุ่งเรือง
• ราชวงศ์ซ้อง
 มีความก้าวหน้าด้านการเดินเรือสำเภา
 รู้จักการใช้เข็มทิศ
 รู้จักการใช้ลูกคิด
 ประดิษฐ์แท่นพิมพ์หนังสือ
 รักษาโรคด้วยการฝังเข็ม
• ราชวงศ์หยวน
 เป็นราชวงศ์ชาวมองโกลที่เข้ามาปกครองจีน ฮ่องเต้องค์แรกคือ กุบไลข่าน หรือ หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้
 ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายมาก เช่น มาร์โคโปโล พ่อค้าชาวเมืองเวนีส อิตาลี
• ราชวงศ์หมิงหรือเหม็ง
 วรรณกรรม นิยมการเขียนนวนิยายที่ใช้ภาษาพูดมากกว่าการใช้ภาษาเขียน มีนวนิยายที่สำคัญ ได้แก่ สามก๊ก ไซอิ๋ว
 ส่งเสริมการสำรวจเส้นทางเดินเรือทางทะเล
 สร้างพระราชวังหลวงปักกิ่ง (วังต้องห้าม)
• ราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
 เป็นราชวงศ์เผ่าแมนจู เป็นยุคที่จีนเสื่อมถอยความเจริญทุกด้าน
 เริ่มถูกรุกรานจากชาติตะวันตก เช่น สงครามฝิ่น ซึ่งจีนรบแพ้อังกฤษ ทำให้ต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง
 ปลายยุคราชวงศ์ชิง พระนางซูสีไทเฮาเข้ามามีอิทธิพลในการบริหารประเทศมาก


จีนยุคสาธารณรัฐและยุคคอมมิวนิสต์
• ปลายยุคราชวงศ์ชิง ดร.ซุนยัตเซ็น จัดตั้งสมาคมสันนิบาต เพื่อล้มล้างราชวงศ์ชิง โดยประกาศ ลัทธิไตรราษฎร์ ประกอบด้วย 1.หลักเอกราช 2.หลักแห่งอำนาจอธิปไตยของประชาชน 3.หลักความยุติธรรมในการครองชีพ ส่วนนโยบายปฏิวัติ คือ โค่นล้มราชวงศ์แมนจู และจัดตั้งรัฐบาลประชาชน จัดตั้งรัฐบาลตามระบอบสาธารณรัฐ จัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชน และก่อตั้งพรรคชาตินิยม หรือ
พรรคก๊กมินตั๋ง ขึ้นในที่สุด
• ต่อมา ซุนยัตเซ็นได้ร่วมมือกับ ยวน ซีไข ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จเปลี่ยนการปกครองเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐ (จักรพรรดิปูยี เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของจีน) มีการแย่งชิงอำนาจของผู้นำทางทหารเรียกว่า ยุคขุนศึก
• ซุนยัตเซ็นได้เสนอให้ ยวน ซีไข เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน
• ยวน ซีไข คิดสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิและรื้อฟื้นระบบศักดินา
• ดร.ซุนยัตเซ็น ตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง
• เมื่อ ยวน ซีไข เสียชีวิตลง ดร.ซุนยัตเซ็นเป็นประธานาธิบดี แต่เป็นได้ไม่นานก็เสียชีวิต
• หลังจาก ดร. ซุนยัตเซ็น เสียชีวิต เจียงไคเช็ค ขึ้นเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งและผู้นำจีน
• แต่รัฐบาลเจียงไคเช็ค ประสบปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ราษฎร
• จีนเกิดการปฏิวัติอีกครั้ง โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตุง รัฐบาลเจียงไคเช็ค ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แต่แพ้
• เหมา เจ๋อตุง สถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีการจัดระเบียบสังคมใหม่ เรียกว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรม เพื่อต่อต้านจารีตศักดินาแบ่งชนชั้น
• หลังจาก เหมา เจ๋อตุง เสียชีวิต เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นเป็นผู้นำจีนแทน ประกาศพัฒนาประเทศด้วย นโยบายสี่ทันสมัย คือด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศ รวมทั้งผ่อนปรนวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนให้คลายความเข้มงวดลง

อนุสรณ์สถานประธานเหมา เจ๋อตุง


ศิลปวัฒนธรรมของจีน
• จิตรกรรม
 มีวิวัฒนาการมาจากการเขียนตัวอักษรจีนจารึกบนกระดูกเสี่ยงทายเพราะตัวอักษรจีนมีลักษณะเหมือนรูปภาพ
 งานจิตรกรรมจีนรุ่งเรืองมากในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีการเขียนภาพและแกะสลักบนแผ่นหิน ที่นิยมมากคือ การเขียนภาพบนผ้าไหม ภาพวาดเป็นเรื่องเล่าในตำราขงจื๊อพระพุทธศาสนาและภาพธรรมชาติ
 สมัยราชวงศ์ถัง มีการพัฒนาการใช้พู่กันสีและกระดาษภาพส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า
 สมัยราชวงศ์ซ้อง จิตรกรรมจัดว่าเด่นมาก ภาพวาดมักเป็นภาพมนุษย์กับธรรมชาติ ทิวทัศน์ ดอกไม้
• ประติมากรรม
 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ทำจากดินสีแดง มีลวดลาย แดง ดำ และขาวเป็นลวดลายเรขาคณิต
 สมัยราชวงศ์ชาง มีการแกะสลักงาช้าง หินอ่อน และหยกตามความเชื่อและความนิยมของชาวจีน ที่เชื่อว่า หยก ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล ความสุขสงบ ความรอบรู้ ความกล้าหาญ ภาชนะสำริดเป็นหม้อสามขา
 สมัยราชวงศ์ถัง มีการพัฒนาเครื่องเคลือบดินเผาเป็นเคลือบ 3 สีคือ เหลือง น้ำเงิน เขียว ส่วนสีเขียวไข่กามีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์ซ้อง ส่วนพระพุทธรูปนิยมสร้างในสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งงานหล่อสำริดและแกะสลักจากหิน ซึ่งมีสัดส่วนงดงาม เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะอินเดียและจีนที่มีลักษณะเป็นมนุษย์มากกว่าเทพเจ้า นอกจากนี้มีการปั้นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม
 สมัยราชวงศ์เหม็ง เครื่องเคลือบได้พัฒนาจนกลายเป็นสินค้าออก คือ เครื่องลายครามและลายสีแดง ถึงราชวงศ์ชิง เครื่องเคลือบจะนิยมสีสันสดใส เช่น เขียว แดง ชมพู
• สถาปัตยกรรม
 กำแพงเมืองจีน สร้างในสมัยราชวงศ์จิ๋น เพื่อป้องกันการรุกรานของมองโกล
 เมืองปักกิ่ง สร้างในสมัยราชวงศ์หงวน โดยกุบไลข่าน ซึ่งได้รับการยกย่องทางด้านการวางผังเมือง ส่วนพระราชวังปักกิ่งสร้างในสมัยราชวงศ์เหม็ง
 พระราชวังฤดูร้อน สร้างในสมัยราชวงศ์เช็ง โดยพระนางซูสีไทเฮา ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างยุโรปและจีนโบราณ
• วรรณกรรม
 สามก๊ก สันนิษฐานว่าเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นเรื่องราวของความแตกแยกในจีนตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศจิ๋นจนถึงราชวงศ์ฮั่น
 ซ้องกั๋ง เป็นเรื่องประท้วงสังคม เรื่องราวความทุกข์ของผู้คนในมือชนชั้นผู้ปกครอง สะท้อนความทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองของพวกมองโกล
 ไซอิ๋ว เป็นเรื่องราวการเดินทางไปนำพระสูตรจากสวรรค์ทางตะวันตกมายังประเทศจีน
 จินผิงเหมย หรือดอกบัวทอง แต่งขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นนิยายเกี่ยวกับสังคมและชีวิตครอบครัว เป็นเรื่องของชีวิตที่ร่ำรวย มีอำนาจขึ้นมาด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่ด้วยการทำชั่วและผิดศีลธรรมในที่สุดต้องด้รับกรรม
 หงโหลวเมิ่ง หรือ ความฝันในหอแดง เด่นที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เรื่องราวเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยากัน ผู้อ่านจะรู้สึกเศร้าสลดต่อชะตาชีวิตของพระเอกนางเอกเนื้อเรื่องสะท้อนให้เห็นสังคมศักดินาของจีนที่กำลังเสื่อมโทรมก่อนการเปลี่ยนแปลงสังคมเข้าสู่ยุคใหม่ บันทึกประวัติศาสตร์ ของ สื่อหม่าเฉียน
การถ่ายทอดอารยธรรมจีนสู่ดินแดนต่างๆ
อารยธรรมจีนแผ่ขยายขอบข่ายออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในเอเชียและยุโรป อันเป็นผลมาจากการติดต่อทางการทูต การค้า การศึกษา ตลอดจนการเผยแผ่ศาสนา อย่างไรก็ตามลักษณะการถ่ายทอดแตกต่างกันออกไป ดินแดนที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลานาน เช่น เกาหลี และเวียดนาม จะได้รับอารยธรรมจีนอย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านวัฒนธรรม การเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี การสร้างสรรค์ และการแสดงออกทางศิลปะ ทั้งนี้เพราะราชสำนักจีนจะเป็นผู้กำหนดนโยบายและบังคับให้ประเทศทั้งสองรับวัฒนธรรมจีนโดยตรง
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อารยธรรมจีนได้รับการยอมรับในขอบเขตจำกัดมาก ที่เห็นอย่างชัดเจนคือ การยอมรับระบบบรรณาการของจีน
ในเอเชียใต้ ประเทศที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีนอย่างใกล้ชิด คือ อินเดีย พระพุทธศาสนามหายานของอินเดียแพร่หลายเข้ามาในจีนจนกระทั่งเป็นศาสนาสำคัญที่ชาวจีนนับถือ นอกจากนี้ศิลปะอินเดียยังมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะบางอย่างของจีน เช่น ประติมากรรมที่เป็นพระพุทธรูป
ส่วนภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางนั้น เนื่องจากบริเวณที่เส้นทางการค้าสานแพรไหมผ่านจึงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำอารยธรรมตะวันตกและจีนมาพบกัน อารยธรรมจีนที่เผยแพร่ไป เช่น การแพทย์ การเลี้ยงไหม กระดาษ การพิมพ์ และดินปืน เป็นต้น ซึ่งชาวอาหรับจะนำไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรปอีกต่อหนึ่ง



อารยธรรมจีนเกิดขึ้นครั้งแรกที่ลุ่มแม่น้ำฮวงโห คือที่ราบตอนปลายของแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง อารยธรรมจีนเจริญโดยได้รับอิทธิพลจากภายนอกน้อยเพราะทิศตะวันออกติดมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกและทิศเหนือเป็นทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขา จีนถือว่าตนเป็นศูนย์กลางของโลก เป็นแหล่งกำเนิดความเจริญ แหล่งอารยธรรมยุคหินใหม่ ที่พบมีอายุประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสต์กาลที่ตำบล ยางเชา เรียกวัฒนธรรมยางเชา มณฑลเฮอหนาน และวัฒนธรรมลุงชาน ที่เมือง ลุงชาน มณฑลชานตุง พบ เครื่องมือ เครื่องใช้ทำด้วยหิน กระดูกสัตว์ เครื่องปั้นดินเผา กระดูกวัว กระดองเต่าเสี่ยงทาย


ราชวงศ์ที่สำคัญของจีน
ราชวงศ์ ชาง เป็นราชวงศ์แรกของจีน ประมาณ 1,500 ปีก่อนค.ศ. ที่เมืองอันยาง มณฑลโฮนาน เริ่มมีการตั้งชุมชน และการปกครองแบบนครรัฐ ลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรม มีการประดิษฐ์อักษรภาพ 5,000 ตัวเขียนบนกระดองเต่า มีเทพเจ้าที่สำคัญคือเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์
มีการประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษ เซ่นไหว้เทพเจ้าราชวงศ์นี้สิ้นสุด ประมาณ 1,000 ปีก่อนค.ศ.
ราชวงศ์โจว 1,000-221 ปี ก่อน ค.ศ. ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของสมัยศักดินา (ระบบเฟิงเจี้ยน)และถือว่าเป็นยุคคลาสิกของจีน
1. มีการมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้ที่สนับสนุนราชวงศ์ กำหนดสิทธิหน้าที่ตามลำดับชั้นฐานันดรศักดิ์
2. มีการแต่งตั้งผู้แทนกษัตริย์เป็นข้าหลวงประจำหัวเมือง
3. มีการกำหนดหลักเกณฑ์ “เทียนมิ่ง” (อาณัติสวรรค์) มอบอำนาจให้กษัตริย์ราชวงศ์โจวปกครอง กษัตริย์มีฐานะเป็นโอรสสวรรค์ ถ้าปกครองด้วยความยุติธรรม หากปกครองโดยไร้คุณธรรมกษัตริย์จะถูกเพิกถอนจากผู้ทรงคุณธรรม ถือเป็นแนวคิดที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของจีนตลอด 2 พันปี
4. เกิดนักปรัชญาเมธีที่ส่งผลให้ราชวงศ์โจวเป็นยุคทองของภูมิปัญญาที่ส่งผลต่อความเชื่อ ค่านิยม ปรัชญาของสังคมจีนในสมัยนี้ ระบบราชการจะยึดแนวอุดมการณ์ของขงจื๊อ คือผู้ปกครองเป็นตัวแทนของกษัตริย์ต้องปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชน แนวคิของขงจื๊อและเล่าจื๊อ มุ่งแสวงหาหลักของศีลธรรมจรรยาและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม เน้นการทำหน้าที่ของตน
ระบบครอบครัว ของจีนยึดความกตัญญูและนับถือผู้อาวุโสตามหลักคำสอนของขงจื๊อ
หลักคำสอนของขงจื๊อ ถือว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมที่สุดคือเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
แนวคำสอนที่เป็นพื้นฐานของภูมิปัญญาจีนที่เชื่อว่าปัญหาต่างๆในสังคมเกิดจากคนแต่ละคน การแก้ปัญหาทางหนึ่งคือการฝึกฝนตนเองการอบรมตนเอง และสามารถปกครองครอบครัวได้เมื่อปกครองครอบครัวได้ก็สามารถปกครองแค้วนได้ คุณธรรมประกอบด้วยหลัก 5 ประการ ความสุภาพ มีใจโอบอ้อมอารี จริงใจ ตั้งใจ เมตตากรุณา คุณธรรมที่สำคัญที่เป็นหัวใจของปรัชญาขงจื๊อคือ เหริน เพราะคำนี้ประกอบด้วย อักขระสองตัวคือ “คน” กับ “สอง” หมายถึงมนุษยสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เหรินคือความรัก ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ เริ่มจากความรักในบิดา มารดา ความรักในความเป็นพี่น้อง
ผลงานของขงจื๊อรวบรวมไว้เรียก ตำรับ 5 เล่มของขงจื๊อประกอบด้วย
1. อี้จิง ตำรับว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง
2. ชูจิง ตำรับว่าด้วยประวัติศาสตร์
3. ซือจิง ว่าด้วยกาพย์กลอน
4. หลี่จิ้ง ว่าด้วยพิธีการ
5. ชุนชิว พงศาวดารฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง
ลัทธิเต๋า มีอิทธิพลต่อจีนทางด้านศิลปกรรม และมีการผสมกลมกลืนกันระหว่างลัทธิขงจื๊อและพุทธศาสนานิกายมหายาน
การแพทย์เริ่มในสมัยนี้ มีการตรวจรักษาโรค จับชีพจร ใช้ยาสมุนไพร รู้คุณสมบัติของแม่เหล็ก (นำมาประดิษฐ์เข็มทิศในสมัยสามก๊ก)
ราชวงศ์ จิ๋น 221-207 ปี ก่อนค.ศ. จีนเริ่มเป็นจักรวรรดิ์ พระเจ้าชิวั่งตี่ หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ ยึดหลัก)ปกครองที่เข้มงวดตามหลักนิติธรรม(ฟาเจีย)ของ ซุนจื๊อ ที่เห็นว่ามนุษย์ชั่วร้ายมี กิเลส ตัณหาต้องใช้อำนาจและกฏหมายเป็นเครื่องควบคุม ยกเลิกระบบศักดินา แบ่งเขตการปกครองเป็น 36 มณฑล แต่งตั้งข้าราชการไปปกครอง จัดระเบียบการเขียนหนังสือ ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมและคำสอนของขงจื๊อเผาตำราต่างๆ มีการสร้างกำแพงเมืองจีน ค้นพบ ดินปืนเป็นชาติแรก
มาตราชั่งตวง วัด
ราชวงศ์ ฮั่น202 ปีก่อน ค.ศ. – ค.ศ.221 มีการฟื้นฟูปรัชญาและวรรณกรรมที่มีการเผาในสมัยราชวงศ์ ฉินหรือ จิ๋น นำหลักการของขงจื๊อมาใช้ในการปกครองประเทศ มีการสอบเข้ารับราชการหรือ ระบบจอหงวน มีการทำกระดาษจากเปลือกไม้ คิดค้นการทำหมึกจากเขม่าต้นรัก ใช้พู่กันเขียนลงบนกระดาษ การคำนวณหาอัตราส่วนเส้นผ่าศูนย์กลางกับเส้นรอบวง ประดิษฐ์ลูกคิด เครื่องตรวจแผ่นดินไหว ในสมัยนี้มีการใช้เส้นทางแพรไหม (Silk Route) ในการติดต่อค้าขายกับทางตะวันตกเมื่อสิ้นราชวงศ์ฮั่นเกิดการรบแย่งชิงอำนาจนาน 50 ปี เรียกสมัยสามก๊กจีนแบ่งแยกเป็นแค้วนๆ ค.ศ. 220-265 และ สมัย หกราชวงศ์ ค.ศ.420-589 ราชวงศ์ ซุย ค.ศ.589-618
ราชวงศ์ถัง ค.ศ. 618 -907 ถือว่าเป็นยุคทองของวัฒนธรรมจีนทางกวี จิตรกรรมมีการส่งพระ
ยวนชาง (พระถังซัมจั๋งไปสืบพระพุทธศาสนาที่อินเดีย)
ราชวงศ์ซ้องหรือสุ้ง ค.ศ. 960-1279 ฟื้นฟูลัทธิขงจื๊อและ ลัทธิเต๋า เกิดประเพณีรัดเท้าสตรี ต่อมาถูกเผ่ามองโกลรุกราน
ราชวงศ์หงวน ค.ศ. 1279 – 1368 เป็นเผ่ามองโกล มีผู้นำชื่อกุบไลข่าน เป็นสมัยที่มีชาวต่างชาติเข้ามาติดต่อค้าขาย รับราชการ เช่น มาร์โค โปโล
ราชวงศ์หมิง ค.ศ.1368-1644 นำโดยจู ยวนชางขับไล่มองโกล มีความเจริญในการทำเครื่องเบญจรงค์
ราชวงศ์ชิง ค.ศ.1644-1911 เป็นชนเผ่าแมนจู บังคับให้ผู้ชายจีนไว้หางเปีย ห้ามนำสตรีจีนเข้ามาเป็นนางใน มีวรรณกรรมที่เด่นเกิดขึ้นชื่อ ความฝันในหอแดง สะท้อนสังคมศักดินาของจีนที่กำลังเสื่อม
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ยุคใหม่ ผู้แต่งคือ เฉาจัน
ที่มา : อารยธรรมสมัยโบราณ-สมัยกลาง ของ คณะอักษรศาสตร์จุฬา , มรดกอารยธรรมโลก ของ มหาวิทยาลัยเกษตร

ประมวลภาพ น้ำท่วมปากีสถานครั้งใหญ่สุด









รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศแจ้งว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปากีสถาน อันเนื่องมาจากพายุมรสุมครั้งรุนแรงที่สุด ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อยกว่า 1,600 คน และส่งผลกระทบต่อประชาชน 1 ล้านคน ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ขณะที่เมืองเปชาวาร์ เมื่องใหญ่ที่สุดในเขตนั้นถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และทำให้ความพยายามในการช่วยเหลือประชาชนกว่า 15 ล้านคนต้องหยุดชะงัก ซึ่งขณะนี้หน่วยกู้ภัยกำลังระดมความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นับว่าเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของปากีสถาน

สหประชาชาติกล่าวว่า ความต้องการด้านมนุษยธรรมในปากีสถานขณะนี้ ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อปี 2548 ที่มีประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 73,000 คน และอีกประมาณ 3.5 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย สหประชาชาติประเมินว่า เหตุน้ำท่วมครั้งนี้มีประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยมากกว่า 500,000 คน และพื้นที่ทางการเกษตรในแคว้นปัญจาบ ตอนกลางของประเทศ ถูกทำลายไปกว่า 3.5 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดได้แก่พื้นที่จังหวัดไคเบอร์ปัค ตุนควา

การสังหารหมู่นานกิง






การสังหารหมู่นานกิง (อังกฤษ: Nanking Massacre) (จีนตัวเต็ม : 南京大屠殺) หรือรู้จักกันในนาม "การข่มขืนที่นานกิง" เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการที่ทหารกองทัพจักพรรดิญี่ปุ่นเข้าบุกยึดเมืองนานกิงไว้ได้ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2480 เป็นส่วนหนึ่งในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และต่อมาคือส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง

ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทหารกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่นได้ทำการทารุณกรรมแก่เชลยสงคราม สังหารพลเรือน โดยการทารุณกรรมต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ "การข่มขืน" ผู้หญิงพลเรือน ซึ่งเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก


การบุกนานกิงของญี่ปุ่น


กองทัพญี่ปุ่นใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่ว่า นานกิงนั้นถูกขนาบด้วยแม่น้ำถึงสองด้าน ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่ทางใต้ของโค้งแม่น้ำแยงซี ซึ่งเมื่อไหลมาจากทางเหนือแล้วก็เลี้ยงผ่านไปทางตะวันออก กองทัพญี่ปุ่นภายใต้การนำของพลเอก นาคาจิมา เคซาโกะ สามารถเดินทัพจากทางตะวันออกเฉียงใต้มาบรรจบกันที่ด้านหน้าของนานกิงในรูปครึ่งวงกลม โดยใช้แม่น้ำเป็นกำแพงธรรมชาติล้อมเมืองหลวงแห่งนี้ รวมทั้งสกัดการฝ่าหนีออกไปด้วย

ปลายเดือนพฤศจิกายน ทหารญี่ปุ่นสามกองทัพดาหน้าเข้าหานานกิง ทัพหนึ่งมุ่งตะวันตกทางฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำแยงซี ทหารกองนี้เข้ามาทางแม่น้ำไป๋เหมา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเซี่ยงไฮ้ โดยเดินทัพมาทางรถไฟสายนานกิง-เซี่ยงไฮ้

ทัพที่สองเตรียมตัวบุกจู่โจมนานกิงทั้งทางน้ำและทางบกอยู่ที่ทะเลสาบอ้ายหู ทัพนี้เคลื่อนจากเซี่ยงไฮ้ลงมาทางตะวันตก และเดินทัพอยู่ทางทิศใต้ของทัพของนาคาจิมา โดยผู้นำทัพนี้คือ พลเอกมัตสึอิ อิวาเนะ

ทัพที่สามภายใต้การนำของพลโทยานากาวา ไฮสุเขะ เดินห่างจากทัพของพลเอกมัตสึอิลงไปทางใต้และหักเลี้ยวเข้าหานานกิงจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ โดยไม่มีการยั้งมือ

ก่อนที่จะบุกถึงนานกิงนั้นทหารญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเมืองซูโจวราบเป็นหน้ากลอง และฆ่าทุกคนที่พบ การบุกเข้าเมืองซูโจวครั้งนี้ทำให้จำนวนประชากรลดลงจาก 350,000 คนลงเหลือไม่ถึง 500 ชีวิต

จนถึงรุ่งสางของวันที่ 13 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นสามารถบุกผ่านประตูเมืองนานกิงเข้ามาได้

หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นบุกนานกิง


หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้านานกิงได้เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการเข้าปลดอาวุธทหารจีนที่ยอมแพ้และยอมตกเป็นเชลย โดยมีคำสั่งต่อทหารญี่ปุ่นว่าให้กำจัดคนจีนและเชลยทุกคนที่จับได้ และจากที่ประชุมตกลงว่า จะทำการแบ่งเชลยออกเป็นจำนวนเท่าๆกัน และจะถูกนำออกมาจากที่คุมขังเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 50 คน เพื่อนำไปประหาร ใช้ทหารกองร้อยที่ 1, 2 และ 5 โดยกองร้อยที่ 1ใช้พื้นที่บริเวณนาข้าว และบริเวณพื้นที่ลุ่มทางตะวันตกเฉียงใต้ของกองร้อยที่ 2 และกองร้อยที่ 5 ใช้พื้นที่บริเวณนาข้าวทางตะวันออกเฉียงใต้ของที่ตั้งกอง

คำสั่งนั้นเป็นไปอย่างเป็นเหตุเป็นผลและเหี้ยมโหดโดยปราศจากเมตตาเพราะไม่สามารถหาอาหารให้เชลยทั้งหมดได้ โดยสามารถช่วยขจัดปัญหาเรื่องอาหาร และลดการตอบโต้ได้

ญี่ปุ่นใช้วิธีการหลอกลวงเชลยเพื่อนำไปประหารหลายวิธีด้วยกัน เช่น ให้สัญญาว่าจะปฏิบัติอย่างดีหากไม่ต่อต้าน หลอกให้เข้ามอบตัว แบ่งผู้ชายออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละร้อยหรือสองร้อย แล้วหลอกไปยังจุดต่างๆที่นอกตัวเมืองเพื่อฆ่าทิ้ง

ทั้งหมดนี้ได้รับการปฏิบัติอย่างง่ายดายกว่าที่ฝ่ายญี่ปุ่นคาด การต่อต้านมีเพียงบางจุด เพราะทหารจีนส่วนใหญ่ทิ้งอาวุธและทิ้งเมืองไปก่อนแล้ว

การทารุณกรรม


ทหารญี่ปุ่นทำการทารุณกับชาวนานกิงเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้เช่น ฝังทั้งเป็น โดยจะขุดหลุม และฝังเชลยให้โผล่ขึ้นมาแค่เพียงหน้าอกหรือแค่คอ เพื่อจะได้รับทุกข์ทรมานต่างอีกหลายอย่าง เช่น ฉีกเป็นชิ้นๆ ทหารญี่ปุ่นคว้านตับไตไส้พุง ตัดหัวหรือสับเหยื่อเป็นชิ้นๆ ตอกเชลยไว้กับแผ่นไม้แล้วให้รถถังแล่นทับ ใช้เป็นที่ซ้อมเสียบดาบปลายปืน ควักลูกตา หั่นจมูกและใบหูก่อนเผาทั้งเป็น

การสังหารพลเรือน

หลังทหารจีนทั้งหมดยอมแพ้ ก็เท่ากับไม่เหลือใครที่จะปกป้องพลเรือนในตัวเมือง ทหารญี่ปุ่นหลั่งไหลเข้ามา ยึดอาคารที่ทำการรัฐบาล ธนาคารและโรงเก็บสินค้า ยิงผู้คนตามท้องถนนอย่างไม่เลือกหน้า โดยใช้ทั้งปืนพก ปืนกล ปืนเล็กยาว ยิงเข้าไปในฝูงคนที่มีทั้งทหารที่บาดเจ็บ หญิงชรา และเด็กๆ โดยทหารญี่ปุ่นฆ่าพลเรือนทุกมุมเมือง ไม่ว่าจะตามตรอกเล็กๆ หรือถนนสายใหญ่ ในสนามเพลาะ หรือแม้แต่ในอาคารที่ทำการรัฐบาล

การข่มขืน
เป็นที่กล่าวขวัญอย่างมาก ไม่ว่าจะสาวหรือแก่ ทหารญี่ปุ่นข่มขืนชนิดไม่เลือกหน้า ไล่ตั้งแต่ชาวนา เด็กนักเรียน ครู พนักงานระดับบริหาร คนงาน อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งแม่ชี ต่างก็เลี่ยงไม่พ้นการถูกข่มขืนทั้งสิ้น โดยผู้หญิงคนหนึ่งจะตกไปอยู่ในมือของทหารประมาณ 15 ถึง 20 คน บางคนในจำนวนนี้ถูกเรียงคิวจนถึงแก่ความตาย แต่กฎของกองทัพที่ว่าห้ามข่มขืนผู้หญิงของฝ่ายตรงกันข้ามนั้น ทำให้ทหารสังหารเหยื่อเสียเมื่อเสร็จธุระ

พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้กระทำกันเฉพาะในหมู่พลทหาร แม้ระดับนายทหารก็ไม่เว้น บางคนไม่เพียงสนับสนุนการข่มเหง แต่ยังเตือนให้พลทหารจัดการเหยื่อเมื่อเสร็จธุระเพื่อกำจัดหลักฐาน

หญิงในนานกิงถูกข่มขืนชนิดไม่เลือกที่และไม่เลือกเวลา ประมาณว่าหนึ่งในสามของการข่มขืนทั้งหมดเกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ และไม่มีสถานที่แห่งใดปลอดจากการข่มขืน เช่น ในเรือนแม่ชี ในโบสถ์ แม้แต่ในโรงเรียน

นอกจากนั้นคนเฒ่าคนแก่ยังไม่สามารถใช้ความชราเป็นเกราะคุ้มกันการข่มขืนได้ ผู้เฒ่าต่างต้องเผชิญทารุณกรรมทางเพศอย่างถ้วนหน้าและซ้ำซาก ย่ายายวัยแปดสิบจำนวนมากถูกข่มขืนจนตายคาที่ และอย่างน้อยก็ถูกยิงตายเพราะปฏิเสธการถูกข่มขืน

แม้ผู้หญิงที่ท้องได้หลายเดือนก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้น ทหารญี่ปุ่นหลายรายข่มขืนผู้หญิงหลายรายทั้งที่เห็นชัดว่าใกล้คลอดหรือเพิ่งคลอดได้หมาดๆ ซ้ำร้ายกว่านั้นหลังจากข่มขืนเสร็จแล้ว ก็คว้านท้องของผู้หญิงท้องที่ถูกข่มขืน แล้วเขี่ยลูกอ่อนออกมาดูเล่นแล้วโยนขึ้นฟ้าเอาดาบปลายปืนเสียบ







ในที่สุดญี่ปุ่นก็ยอมขอโทษจีน รวมทั้งประเทศในเอเชียกรณีสังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อที่ประชุมเอเชียแปซิฟิกที่ประเทศอินโดนีเซีย

ทำให้ความหมางใจกันถึงขั้นมีการเดินขบวนประท้วงญี่ปุ่นของคนจีนจำนวนมาก
ที่ยืดเยื้อกันมาเป็นสัปดาห์ คลี่คลายลง

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากแบบเรียนประวัติศาสตร์ที่ผ่านการอนุมัติจาก
รัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาโดยเนื้อหาในแบบเรียนระบุว่า
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่เมืองนานกิง เป็นเพียง "เหตุการณ์เล็กๆ" ที่มีคนจีน
"หลายคน" ถูกสังหาร

ทำไมคนจีนต้องโกรธแค้นขนาดนั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อน กรณีการสังหารหมู่ที่เมืองนานกิงอาจจะเหมือนกับเมืองอื่นๆ
ที่พ่ายแพ้สงคราม เพราะความจริงที่โหดร้ายนั้นถูกจงใจปิดบัง รวมทั้งถูก
ทำให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

กระทั่ง ปี ค.ศ.1994 ความจริงที่ ไอริส จาง บอกว่าพ่อแม่ของเธอเล่าให้ฟัง
โดยเรียกว่า "หนานจิง ต้าถูซา(การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)" ก็ปรากฏขึ้น

"เมื่อฉันเข้าร่วมในการประชุมที่จัดโดย สมาพันธ์โลกเพื่ออนุรักษ์ประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเอเชีย ซึ่งจัดขึ้นที่คูเปอร์มีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อระลึกถึง
เหยื่อของเหตุการณ์สังหารโหดที่นานกิง

คณะผู้จัดงานขึงโปสเตอร์ขนาดใหญ่ที่แสดงภาพการฆ่าล้างเผ่าชาวนานกิงไว้
ในห้องโถงของที่ประชุม เป็นภาพน่ากลัวที่สุดในชีวิตฉัน"

เป็นเหตุให้ ไอริส จาง ต้องค้นคว้าหาข้อมูลทั้งจากเอกสารและจากการสัมภาษณ์
คนที่มีชีวิตรอดมาได้

ยิ่งขุดค้นลงไปมากเท่าไร ก็ยิ่งได้พบว่าหลักฐานข้อมูลต่างๆ นั้นมีให้ค้นคว้าได้
และมีอยู่ในอเมริกามาโดยตลอด ไม่ว่าจะโดยบาทหลวงที่ออกไปเผยแพร่ศาสนา
นักหนังสือพิมพ์หรือนายทหารที่ได้จดบันทึกเรื่องราว ถ่ายภาพเหตุการณ์เก็บไว้
ให้คนรุ่นหลัง

แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็ร้อยเรียงออกมาเป็น "The Rape of Nanking :
The Forgotten Holocaust of World War II" หรือ "หลั่งเลือดที่นานกิง"
แปลโดยฉัตรนคร องคสิงห์ ค่ายสำนักพิมพ์มติชน

เรื่องราวที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ที่ทหารญี่ปุ่นกระทำต่อเชลยชาวจีน ไม่เพียงทหาร
แต่กับพลเรือนตั้งแต่เด็กเล็ก หญิงสาว ไปกระทั่งคนแก่เฒ่า นั้นโหดร้ายนัก

แม้กระทั่งนาซีในนานกิงยังกล่าวถึงสิ่งที่ตนเห็นว่า "พฤติกรรมเยี่ยงเดียรัจฉาน"

อสุมะ ชิโร ทหารญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพยานในเหตุการณ์ทารุณโหดร้าย กล่าวว่า
ในระหว่างเวลาสองปีแห่งการฝึกอบรมทางทหารในกองพลทหารราบที่ 20
แห่งเกียวโต-ฟุ ฟูคูชิ-มา นั้น เราถูกสอนว่า

"ความจงรักภักดียิ่งใหญ่กว่าภูผา หากชีวิตของผมเองยังไม่สำคัญ ชีวิตของ
ศัตรูก็ยิ่งสำคัญน้อยเสียจนไม่มีค่าอะไรเลย"

ทหารทุกคนล้วนได้รับการฝึกให้ความรู้สึกของอย่างมนุษย์หมดไป วันแล้ว
วันเล่าจะต้องฝึกให้รู้จักการตัดหัวมนุษย์และเสียบดาบปลายปืนเข้าไปในร่าง
เป็นๆ ของเชลยเหล่านั้น

และขณะเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงก็ได้มีการจัด "การแข่งขันฆ่า" ดูซิว่า
ใครจะสามารถฆ่าเจ๊กได้ถึง 100 คน ก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะบุกถึงเมืองนานกิง

หนังสือพิมพ์ "เจแปน แอดเวอร์ไทเซอร์" ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม รายงานว่า
เรือตรีมูคาอิ โทชิอาขิ และเรือตรีโนดะ ทาเคฉิ จากหน่วยคาตากิริเข้าร่วม
ในการแข่งขันกระชับมิตร ซึ่งอีกสัปดาห์ต่อมาก็รายงานว่า ทหารทั้งสอง
เกิดไม่แน่ใจว่าใครได้คะแนนถึง 100 ก่อน ดังนั้นจึงตกลงใจขยับเป้าเป็นฝ่ายละ 150

"คมดาบของมูคาอิบิ่นไปเล็กน้อยจากการแข่งขัน เขาเล่าว่าเป็นเพราะการผ่าตัว
คนจีนออกเป็นสองครึ่งดาบเลยกระแทกเข้ากับหมวกเหล็กและอื่นๆ และบอกว่า
การแข่งขันนี่ สนุกดี"

ส่วน โอมาตะ ยูคิโอะ ผู้สื่อข่าวประจำกองทัพ ซึ่งได้เห็นเชลยศึกชาวจีนถูกนำ
ไปยังท่าเรือเซี่ยกวาน แล้วถูกสั่งให้ยืนเรียงกันที่ริมฝั่งแม่น้ำ รายงานว่า

พวกที่ยืนอยู่แถวแรกถูกตัดหัว แถวที่สองถูกบังคับให้ผลักร่างไร้หัวลงน้ำไป
จากนั้นคนในแถวถัดมาก็ถูกตัดหัวเช่นกัน การฆ่าหมู่ดำเนินไปไม่หยุดยั้ง
จากเช้ายันค่ำ

แต่ด้วยวิธีนี้ทหารญี่ปุ่นฆ่าได้แค่วันละ 2,000 คน จนเหน็ดเหนื่อยกับวิธีการนี้
พอถึงวันถัดมาจึงหันมาใช้ปืนกล ทหารสองคนกราดปืนกลเข้าใส่เชลยที่ยืน
เรียงแถวกันอยู่ ปังๆ ปังๆ ทหารเหนี่ยวไก ขณะเชลยกระโดดหนีลงน้ำ

แต่ไม่มีใครไปได้ถึงอีกฝั่งสักคน!

มีไม่คนที่รู้ว่าทหารเอาดาบปลายปืนเสียบร่างทารกที่ยังเป็นๆ แล้วตวัดร่างนั้น
ลงในหม้อน้ำเดือด

ที่ทรมานใจคนอ่านยิ่งนักคือ เรื่องของการข่มขืน

ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าตัวเลขของสตรีในนานกิงที่ถูกข่มขืนมีมากเท่าใด
ตั้งแต่ 20,000 จนถึง 80,000 คน เพราะทหารญี่ปุ่นข่มขืนผู้หญิงไม่เลือกหน้า
ตั้งแต่ชาวนา เด็กนักเรียน ครู แม้กระทั่งแม่ชี ตั้งแต่อายุ 12 ปี ไปจนถึง 80 ปี

เด็กสาวถ้ายังอยู่ในบ้านก็เสี่ยงต่อการถูกข่มขืนต่อหน้าสมาชิกในครอบครัว...
ซึ่งมีไม่น้อยที่ลูกชายถูกบังคับให้ข่มขืนแม่ พ่อถูกบังคับให้ข่มขืนลูกสาว...
แต่หากออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปยังเขตปลอดภัย ก็เสี่ยงต่อการถูกจับได้
กลางทาง

กระนั้นกองทัพญี่ปุ่นก็ยังสร้างเรื่องโกหกว่า มีตลาดที่พวกแม่บ้านสามารถ
นำไก่และเป็ดมาแลกกับข้าวสารและแป้งปรุงอาหารได้ แต่เมื่อพวกผู้หญิง
ไปถึงที่นั่นพร้อมด้วยข้าวของที่จะแลก พวกเธอกลับได้พบกับทหารเป็นฝูง
คอยทีอยู่

ผู้หญิงที่นานกิงถูกข่มขืนไม่เลือกเวลาและสถานที่ หนึ่งในสามเกิดขึ้นตอน
กลางวันแสกๆ

"พวกที่รอดมาได้เล่าว่า พวกทหารจับผู้หญิงถ่างขาออกแล้วก็ข่มขืนพวกเธอ
ทั้งๆ กลางแจ้ง ที่กลางถนน และต่อหน้าฝูงชนที่มุงดู"

ถึงแก่เฒ่าก็ไม่เว้น "ทหารญี่ปุ่นที่ข่มขืนหญิงวัยหกสิบคนหนึ่งออกคำสั่ง
ให้นางใช้ปากทำความสะอาดอวัยวะเพศให้ และเมื่อยายวัย 62 อีกคน
ออกปากว่านางแก่เกินกว่าจะทำเรื่องอย่างนั้นได้ พวกเขาก็ตอกท่อนไม้เข้า
ไปในตัวนาง

ยายวัยแปดสิบจำนวนมากถูกข่มขืนจนตายคาที่"

พยานชาวจีนหลายรายเล่าว่า ทหารข่มขืนเด็กผู้หญิงที่กลางถนน เสร็จแล้ว
ก็ใช้ดาบฟันร่างของพวกแกขาดเป็นสองท่าน นอกจากนั้นยังมีบางรายที่
ถูกแล่ช่องคลอดด้วยดาบของผู้ชำเราเอง

กับผู้หญิงท้องหลังจากการเรียงคิวแล้ว "บางทีทหารก็คว้านผ่าหน้าท้อง
ของหญิงที่พวกตนข่มขืน แล้วเขี่ยเอาลูกอ่อนออกมาดูเล่น!"

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้ กับเตียง หรือเสาบ้าน
ในสภาพเปลือยเปล่าในฐานะเป็นอุปกรณ์สนองกามถาวร

"ในระหว่างการข่มขืนมโหฬารที่เกิดขึ้นในตัวเมือง บ่อยครั้งที่ทหารญี่ปุ่น
ฆ่าเด็กและทารกทิ้ง เพียงเพราะพวกแกเข้ามายุ่มย่ามขวางทาง พยานที่เห็น
เหตุการณ์เล่าถึงภาพเด็กๆ หรือทารกที่ถูกเอาผ้ายัดปาก หรือไม่ก็ถูกเสียบตาย
คาดาบปลายปืน เพราะพวกแกเกิดร้องขึ้นมาขณะแม่กำลังถูกข่มขืน"

และเมื่อเบื่อหน่ายกับกามที่สวาปามเข้าไปจนเกินอิ่มแล้ว วิธีการหฤหรรษ์
อันสุดเหี้ยมอย่างหนึ่ง คือ "การเสียบช่องคลอด"

สองขาของซากศพพวกผู้หญิงที่พบตามท้องถนนในเมืองนานกิงถ่างแยก
มีสิ่งของต่างๆ ทิ่มแทงค้างอยู่ในอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ กิ่งไม้ หรือ
กอหญ้า

ทหารนายหนึ่งยัดขวดเบียร์เข้าไปในช่องคลอดที่เขาเพิ่งเสร็จออกมา
จากนั้นก็ยิงเจ้าของช่องคลอดรายนั้นทิ้ง

การข่มขืนชนิดไม่เลือกหน้าในนานกิงทำให้เกิดเสียงโวยวายอย่าง
รุนแรงจากกลุ่มประเทศตะวันตก แต่ปฏิกิริยาของรัฐบาลญี่ปุ่นกลับ
วิปลาสยิ่ง เพราะแทนที่จะห้ามปรามหรือลงโทษผู้กระทำผิด
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของญี่ปุ่นกลับวางแผนทำซ่องใต้ดินขนาด
มหึมา ที่มีเครือข่ายใช้ผู้หญิงนับพันๆ จากทั่วเอเชีย

โดยการสั่งให้จัดตั้ง "บ้านผ่อนคลาย" ขึ้น จากนั้นหลอกล่อ ซื้อขาย
หรือไม่ก็ลักพาตัวผู้หญิงประมาณแปดหมื่นถึงสองแสนคน ซึ่งส่วนใหญ่
มาจากเกาหลี อันเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น แต่ก็มีจำนวนมากเช่นกันที่
มาจากจีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

โดยหวังว่าจะลดตัวเลขผู้หญิงท้องถิ่นที่ถูกข่มขืนไม่เลือกหน้าลงให้ได้
แจกถุงยางอนามัย ด้วยหวังจะหยุดยั้งโรคติดต่อจากการร่วมเพศ และ
เพื่อให้รางวัลแก่ทหารที่เครียดจากการสู้รบที่แนวหน้ามาเป็นเวลานาน

ปี ค.ศ.1991 โยชิมิ โยชิอาขิ ศาสตราจารย์นักประวัติศาสตร์เรืองนาม
แห่งมหาวิทยาลัยโช ค้นพบเอกสารชิ้นที่จั่วหัวว่า "การรับผู้หญิงเข้า
ซ่องทหาร" จากหน่วยงานกลาโหมของญี่ปุ่น ตราที่ประทับบนเอกสาร
นอกจากแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพ
คำสั่งที่ระบุในเอกสารคือ ให้มีการจัดสถานที่ "เพื่อความผ่อนคลายทางเพศ"
เพื่อให้ทหารหยุดข่มขืนผู้หญิงในจีน

"บ้านผ่อนคลาย" แห่งแรกเปิดขึ้นที่นานกิงในปี ค.ศ.1938

กระนั้นก็ตาม วิลเฮลมินา วอทริน หรือที่ใครๆ เรียกว่า "มินนี" วัย 51 ปี
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยศิลปะและวิทยาศาสตร์สตรีจินหลิง
ซึ่งช่วยปกป้องสตรีชาวนานกิงนับพันๆ ไว้จากการถูกทหารญี่ปุ่นข่มขืน
ยังยอมรับว่าเธอถูกหลอกให้ส่งตัวผู้หญิงให้กับทหารญี่ปุ่น

"...ทหารญี่ปุ่นตามรังควานอย่างไม่ลดละด้วยการกวาดเอาพวกผู้ชายออก
ไปฆ่า เอาผู้หญิงไปไว้ในซ่องของกองทัพ ซึ่งบางครั้งวิธีการคัดเลือกก็เป็นไป
อย่างหน้าด้านๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะใช้วิธีเข้ามาแอบจับตัว ด้วยการ
กระโดดข้ามรั้วไม้ไผ่ หรือแหกแนวรั้วด้านข้างเข้ามา แล้วจับเอาผู้หญิงที่
เจอตรงนั้น"

โชคดีที่ จอห์น แมกี ใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์ชนิดสมัครเล่นถ่ายภาพเหยื่อ
หลายรายที่นอนแบ็บอยู่กับเตียงในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนานกิง ร่างของคน
เหล่านั้นถ้าไม่บิดเบี้ยวยับเยินก็ดำเกรียมเพราะถูกเผาทั้งเป็นจนแทบไม่เหลือ
สภาพมนุษย์

ส่วนจอร์จ ฟิทช์ เสี่ยงด้วยชีวิตในการนำฟิล์มม้วนนั้นหลบออกมาได้ถึงเซี่ยงไฮ้
และได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากนานกิงในวันที่ 19 มกราคม โดยบรรจุ
ฟิล์มชนิด 16 มม. จำนวน 8 ม้วน เย็บซ่อนอย่างดีในสาบเสื้อโค้ตขนอูฐที่สวมใส่

เรื่องราวเหล่านี้จึงแดงออกมา

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเรียนรู้ร่วมกันที่จะขออภัยและให้อภัยซึ่งกันและกัน
เชื่อว่าเวลาจะช่วยเยียวยาความรู้สึก เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือ
หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์