กบฏ 26 มีนาคม 2520 หรือ “กบฏพลเอกฉลาด หิรัญศิริ” ในปี พ.ศ. 2520 คือ การพยายามยึดอำนาจจากรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการแต่งตั้งและการสนับสนุนของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน (ดู คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน) เหตุการณ์เริ่มขึ้นในตอนเช้ามืดของวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2520[1] เมื่อพลเอกฉลาด หิรัญศิริ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งถูกให้ออกราชการตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยมี พันโท สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นเลขาธิการ นำกำลังทหารจากกองพลที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี และกองพลทหารราบที่ 19 กองพันที่ 1, 2 และ 3 ราว 300 นาย เข้ายึดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดี, กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า สนามเสือป่า, กรมประชาสัมพันธ์ และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย พร้อมกับควบคุมตัวนายทหารสำคัญคือ พลเอก ประเสริฐ ธรรมศิริ รองผู้บัญชาการทหารบก พลเอก ประลอง วีระปรีย์ เสนาธิการทหารบก และพลตรี อรุณ ทวาทศิน ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ฝ่ายผู้ก่อการพยายามเข้าควบคุมตัวพลเอก เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบกด้วย แต่พลเอกเสริมสามารถหนีออกจากบ้านพักไปได้[2]
การกบฏครั้งนี้จบสิ้นภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ฝ่ายทหารของรัฐบาลพลเรือน นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.กมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพล.อ.เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบก ได้ปราบปรามฝ่ายกบฏเป็นผลสำเร็จ
การก่อการครั้งนั้น เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ คือ พล.อ.อรุณ ทวาทศิน อดีตผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ถูก พล.อ.ฉลาด ยิงเสียชีวิต ซึ่งไม่เป็นที่ชัดเจนว่า พล.อ.อรุณ เข้าไปร่วมด้วยแต่เปลี่ยนใจภายหลัง หรือถูกบังคับแต่ต้น ผลจากการเสียชีวิตของพล.อ.อรุณ ทำให้ภายหลังเมื่อมีการปราบปรามกบฎลงได้แล้ว ได้มีการประหารชีวิต พล.อ.ฉลาด โดยใช้มาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520 นับเป็นกบฏคนสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตตราบจนบัดนี้[3]
ความเกี่ยวข้องของ จปร. 7 ในครั้งนี้ คือ พ.อ.มนูญ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปปราบกบฎ ซึ่งก่อนที่จะนำรถถังเข้าล้อมได้มีการตกลงกับ พ.อ.สนั่น ไว้ก่อนแล้วว่าให้ต่างฝ่ายต่างถอดชนวนปืนเพื่อไม่ให้ยิงใส่กันได้จริง ๆ (ปืนรถถังกับปืนต่อสู้รถถังที่ฝ่ายกบฎนำมาจากกาญฯหลายกระบอก)
เวลา 09.15 น. กลุ่มผู้ก่อการออกประกาศในนามคณะปฏิวัติ อ้างชื่อพลเอกประเสริฐ ธรรมศิริ เป็นหัวหน้า ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลโดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกประกาศแต่งตั้งพลเอก เสริม ณ นคร เป็นผู้อำนวยการรักษาพระนคร เพื่อต่อต้านการปฏิวัติ
เวลา 10.15 น. ฝ่ายรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ชี้แจงสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อประชาชน โดยยืนยันว่ากำลังทหาร 3 เหล่าทัพและตำรวจยังเป็นของรัฐบาล พร้อมชี้แจงว่าพลเอก ประเสริฐ ธรรมศิริถูกบีบบังคับและแอบอ้างชื่อ
สถานการณ์ของกลุ่มผู้ก่อการแย่ลงเป็นลำดับ เมื่อมีการใช้อาวุธปืนสังหารพลตรี อรุณ ทวาทศิน ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่โดยอ้างว่าพลตรีอรุณเข้าแย่งปืน[4] และในช่วงสายก็เป็นที่แน่ชัดว่านอกจากกำลังทหารที่นำมา ไม่ปรากฏกองกำลังในกรุงเทพ ฯ เข้าร่วมก่อการด้วย[5] ฐานอำนวยการปฏิวัติที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดีก็เริ่มถูกปิดล้อมจากรถถังของฝ่ายรัฐบาล พอถึงเวลา 13.30 น. การออกอากาศของกลุ่มผู้ก่อการก็ต้องยุติลงเมื่อสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยถูกตัดกระแสไฟฟ้า
ในขณะที่กลุ่มผู้ก่อการตกอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบ และเริ่มมีทหารบางส่วนยอมวางอาวุธและมอบตัวกับฝ่ายรัฐบาล พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และเป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินด้วย ได้เข้าเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการจนได้ข้อยุติ[6] เวลา 20.30 น. รัฐบาลออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องการยินยอมให้บุคคลชั้นหัวหน้าของกลุ่มผู้ก่อการ 5 คนคือ พลเอก ฉลาด หิรัญศิริ พันโท สนั่น ขจรประศาสน์ บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ พันตรี วิศิษฐ์ ควรประดิษฐ์ และพันตรี อัศวิน หิรัญศิริ บุตรชายของพลเอกฉลาดเดินทางออกนอกประเทศได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวพลเอกประเสริฐ ธรรมศิริ กับพลเอกประลอง วีระปรีย์ อย่างไรก็ตาม ในเวลา 21.00 น. ขณะที่ผู้ก่อการทั้ง 5 เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองและได้ขึ้นไปนั่งรอบนเครื่องบิน เพื่อเตรียมจะออกเดินทางไปประเทศไต้หวัน ทั้งหมดก็ถูกนำตัวลงมาและถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ โดยรัฐบาลให้เหตุผลในเวลาต่อมาว่าเพราะรัฐบาลไต้หวันไม่อนุญาตให้ผู้ก่อการลี้ภัย และทางไทยไม่คิดส่งผู้ก่อการไปประเทศใดอีก การดำเนินคดีนี้เป็นไปอย่างเร่งรัดและเฉียบขาด ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2520 รัฐบาลได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 21 ตัดสินลงโทษโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติ มีคำสั่งให้ถอดยศ และประหารชีวิตนายฉลาด หิรัญศิริ และจำคุกตลอดชีวิตผู้ก่อการที่เหลืออีก 4 คน ซึ่งต่อมาได้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเพิ่มอีก 8 คน รวมเป็น 12 คน นอกจากนั้นยังมีผู้ได้รับโทษลดหลั่นลงมาอีก 11 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีพลเรือนที่พลเอกฉลาดชักชวนมา อาทิ นายพิชัย วาสนาส่ง นายสมพจน์ ปิยะอุย นายวีระ มุสิกพงศ์ ภายหลังทั้งหมดได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2520[7]
สาเหตุของการก่อการ
สำหรับสาเหตุของการปฏิวัติ น่าจะมาจากการที่พลเอกฉลาดสูญเสียอำนาจและต้องการช่วงชิงกลับคืนมา โดยก่อนหน้านี้พลเอกฉลาด เมื่อครั้งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลตรีประมาณ อดิเรกสาร[8] ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาทหารบกเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 เพื่อรอขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ต่อจากพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ที่จะเกษียณอายุราชการในปีนั้น โดยหวังจะให้คานอำนาจกับกลุ่มพลเอกกฤษณ์ สีวะรา[9] อย่างไรก็ตามการย้ายครั้งนี้ถือว่าข้ามลำดับอาวุโส (พลเอกฉลาดมีอายุราชการเหลืออยู่อีกถึง 7 ปี) และข้ามขั้นตอนเพราะเรื่องไม่ได้ผ่านจากผู้บัญชาการทหารบก แถมยังเป็นคำสั่งโยกย้ายนอกฤดูกาลจากรัฐบาลรักษาการ[10] (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ประกาศยุบสภาไปตั้งแต่เดือนมกราคม ปีเดียวกัน) หลังเปลี่ยนรัฐบาล กลุ่มพลเอกกฤษณ์ขึ้นมามีอำนาจ พลเอกฉลาดจึงถูกคำสั่งย้ายในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 ให้ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด และได้รับคำสั่งย้ายอีกครั้งในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2519 ให้ไปช่วยราชการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม[11] ช่วงนี้เองที่ข่าวลือว่าพลเอกฉลาดจะทำการการปฏิวัติเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า[12] แม้การที่คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของพลเรือเอกสงัด เข้ายึดอำนาจในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เวลา 18.00 น. ก็เชื่อกันว่าเป็นการยึดอำนาจเพื่อตัดหน้าพลเอกฉลาดที่จะกระทำการในเวลา 22.00น.[13] ผลก็คือพลเอกฉลาดถูกให้ออกจากราชการในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ด้วยเหตุผลว่าไม่ยอมไปรายงานตัวกับทางคณะปฏิรูปการปกครอง[14] พลเอกฉลาดหลบภัยการเมืองด้วยการบวชที่วัดบวรนิเวศวิหาร แต่ขณะที่เป็นพระก็ได้ติดต่อกับทหารระดับต่างๆ รวมถึงพลเรือนเพื่อเตรียมการปฏิวัติ[15] จนสึกออกมาทำกระทำการในเช้าวันดังกล่าว
ความสำคัญของเหตุการณ์
แม้จะเป็นการปฏิวัติที่ล้มเหลว แต่เหตุการณ์นี้มีความสำคัญตรงที่มีการลงโทษประหารชีวิตผู้ก่อการซึ่งเป็นนายทหารยศถึงพลเอก ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จุดเริ่มต้นน่าจะมาจากการที่พลเอกฉลาดสังหารพลตรีอรุณ พลเอกฉลาดไม่มีกำลังทหารของตนเอง โดยเฉพาะกำลังในกรุงเทพฯ การเข้าควบคุมตัวนายทหารชั้นผู้ใหญ่และเป็นนายทหารที่คุมกำลังจึงน่าจะหวังผลของการร่วมมือ แม้ว่าจะเป็นในลักษณะของการ “ตกกระไดพลอยโจน” ก็ตาม (กรณีนี้ผู้ก่อการพยายามจะเข้าคุมตัวพลเอกเสริม ผู้บัญชาการทหารบกด้วย ซึ่งคงหวังจะใช้คานกับรัฐบาลโดยเฉพาะกลุ่มพลเรือเอกสงัด แต่ไม่สำเร็จ) แต่เมื่อพลตรีอรุณ ในฐานะผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ขัดขวางหรือไม่ให้ความร่วมมือไม่ว่าจะในลักษณะใด ก็คงทำให้ “ผิดแผน” ซึ่งลงเอยด้วยการสังหารพลตรีอรุณในที่สุด[16] การฆ่าทหารชั้นผู้ใหญ่ด้วยกันนี้ทำให้การ “หักหลัง” จากที่จะให้ลี้ภัยเป็นการตัดสินคดีอย่างรวดเร็วและรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต ไม่ได้รับการติเตียนมากนัก ดังคำพูดของพลเรือเอกสงัด นายทหารกลุ่มพลเอกกฤษณ์ที่แย่งชิงอำนาจกันมากับพลเอกฉลาดว่าต้องดำเนินคดีในข้อหา “กบฏและฆ่าคนตาย”[17] และคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่พลเรือเอกสงัดเป็นหัวหน้านี้เองที่คัดค้านนายธานินทร์ไม่ให้ดำเนินคดีไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติแต่ให้ใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตัดสินลงโทษตามมาตรา 21 เลย (จากถ้อยคำของนายธานินทร์)[18] อย่างไรก็ตามมีผู้วิเคราะห์ว่าพลเอกเกรียงศักดิ์ซึ่งเป็นผู้เจรจาและถูกหาว่าหลอกพลเอกฉลาดนั้น ไม่มีความตั้งใจที่จะเอาโทษรุนแรงกับกลุ่มผู้ก่อการ[19] และในกลุ่มทหารก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยที่จะตัดสินลงโทษทหารด้วยกันหนักขนาดนั้น เมื่อมีการปฏิวัติล้มรัฐบาลในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2520 ทหารกลุ่ม “ยังเติร์ก” ที่มีส่วนในการยึดอำนาจครั้งนี้ (ดู ทหารยังเติร์กกับการเมืองไทย) จึงได้สนับสนุนให้รัฐบาลที่มีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์เป็นนายกรัฐมนตรี ออกกฎหมายนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดที่เหลือ[20]
“ความฝังใจ” เรื่องการลงโทษประหารชีวิตนายทหาร ดังในกรณีพลเอกฉลาด คงมีมากพอควร ทำให้การก่อการที่ล้มเหลวในครั้งต่อๆมา ผู้ก่อการถ้าไม่ได้รับโอกาสให้ลี้ภัยไปต่างประเทศก็ได้รับการนิรโทษกรรม ดังเช่นกรณี “กบฏ 9 กันยายน พ.ศ.2528” (ดู กบฏเดือนกันยายน 2528) แม้ว่าพันเอกมนูญ รูปขจร (ปัจจุบันพลตรีมนูญกฤต รูปขจร) ผู้เคยทำการปฏิวัติล้มเหลวและได้รับการนิรโทษกรรมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ “กบฏเมษาฮาวาย” (ดู กบฏเมษาฮาวาย) จะนำกำลังรถถังเข้าปะทะกับกำลังพลของรัฐบาลในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ จนมีผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ ตลอดจนถึงทรัพย์สินราชการเสียหาย แต่พลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ผู้เข้าเจรจากับฝ่ายผู้ก่อการและได้ให้พันเอกมนูญเดินทางออกนอกประเทศไปได้ ก็อ้างว่าตน “ได้รับการติดต่อจากทักษิณว่า อย่าเป็นอย่างกรณีเสธ.ฉลาด” (หมายถึงทางพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์)[21] ในเวลาต่อมาผู้ต้องหาคดีนี้ทั้งหมดได้รับการนิรโทษกรรมในเดือนกันยายน พ.ศ.2531
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น