Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ...หลวงปู่โต



เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

********************

...ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต )

กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม

คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่และมีขันติธรรมอันมั่นคง

จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้



...อาตมามีกฎอยู่ว่า

เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว

ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ

ชำระกายให้สะอาด

แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง

พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต

เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



...ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา

กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม

เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียว

เว้นไว้มีกิจนิมนต์

จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง

ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้

วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที

ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา

เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก

บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด

เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น

ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร

ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น



--------------------------------------------------------------------------------



หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

*****************************

1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง

2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์

3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก

และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน



ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็น

จะต้องมีกฎเกณฑ์ของเราเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง




ทางแห่งความหลุดพ้น

*******************

...เจ้าประคุณสมเด็จฯ

มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า

ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตาย

และถูกหามเข้าป่าช้า

ดังนั้นจึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา

เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏท่านเปรียบเทียบว่า

มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง

เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครก

ที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาด

แม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์

ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน

ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคม

ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน

จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง

และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน




แต่งใจ

******

...ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า

ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น

จะขาดเสียไม่ได้

ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ

แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา

แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ

ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้

...ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย

เป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ

มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง

ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่

มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด

หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง

ทำความสะอาดหรือ?





กรรมลิขิต

*********

...เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว

ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น

ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง

แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตน

ที่ได้กระทำไว้

ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต



อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่

ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง

อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน

ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง



เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว

เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง

ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ



นักบุญ

******

...การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี

ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ

ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ

มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส

ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ

แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า

เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า

เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์

เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้า

ในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี

บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ

คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น





ละความตระหนี่มีสุข

******************

...ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข

หากมาจากการก่อกรรม

บุญนั้นจึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้

หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว

การทำบุญนี้จุดแรกในการทำ

ก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่

รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น

ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย

เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน



อย่าเอาเปรียบเทวดา

*******************

...ในการทำบุญ

สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์

เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล

ทำให้จิตใจเบิกบานดีนี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน

ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น

มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา

ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง

การทำบุญแบบนี้เรียกว่า

ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ

บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล

ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบ

ในการทำของมนุษย์แต่ละคน

เขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง

อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใคร

และของเรื่องราวนั้นๆ

กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น

ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย





บุญบริสุทธิ์

**********

...การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น

ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่หนึ่ง

จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ

แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ

ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ

เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว

ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า

ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน

สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน




--------------------------------------------------------------------------------




สั่งสมบารมี

**********

...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว

การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิต

ให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นเป็นบารมีอย่างหนึ่ง

ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม

เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน





เมตตาบารมี

***********

...การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี

หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี

และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น

ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้

ให้สักแต่ว่าให้เขาท่านก็ย่อมได้กุศล

เรียกว่าไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่า

การบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้น

ได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน





แผ่เมตตาจิต

***********

...ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น

เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่

แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม

หรือกายกรรมที่เป็นรูป

การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า

เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง

ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง

ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส

สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย

ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น

เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า



อานิสงส์การแผ่เมตตา

********************

...ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา

คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเรา

แต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิต

และวิญญาณกระจายออกไป

เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์

เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน

เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา

เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร

คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา

หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆ

ก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา

แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน

สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้

เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง

ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา

เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร

เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต

วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น

จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป

ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

จิตแน่วแน่แล้ว

โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป

ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว

คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย

หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว

ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้

หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้



ประโยชน์จากการฝึกจิต

**********************

...ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน

เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น

ปัญญานี้เรียกว่า

ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ

ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน

เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลา

อันยาวนานข้างหน้า

นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว

คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย

เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว

ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน

เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง

กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย

โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น

ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ

จะผ่อนคลายเป็นปกติ

โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดย

เฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง

หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น