วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ...หลวงปู่โต
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
********************
...ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต )
กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม
คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่และมีขันติธรรมอันมั่นคง
จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้
...อาตมามีกฎอยู่ว่า
เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว
ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ
ชำระกายให้สะอาด
แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง
พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต
เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา
กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม
เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียว
เว้นไว้มีกิจนิมนต์
จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง
ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้
วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที
ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา
เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก
บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด
เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น
ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร
ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น
--------------------------------------------------------------------------------
หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
*****************************
1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก
และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน
ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็น
จะต้องมีกฎเกณฑ์ของเราเพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง
ทางแห่งความหลุดพ้น
*******************
...เจ้าประคุณสมเด็จฯ
มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า
ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตาย
และถูกหามเข้าป่าช้า
ดังนั้นจึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา
เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏท่านเปรียบเทียบว่า
มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง
เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครก
ที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาด
แม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์
ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน
ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคม
ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง
และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน
แต่งใจ
******
...ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า
ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น
จะขาดเสียไม่ได้
ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ
แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา
แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ
ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้
...ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย
เป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ
มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง
ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่
มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด
หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง
ทำความสะอาดหรือ?
กรรมลิขิต
*********
...เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว
ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น
ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง
แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตน
ที่ได้กระทำไว้
ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต
อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่
ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง
อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน
ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง
เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว
เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง
ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ
นักบุญ
******
...การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี
ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ
ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ
มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส
ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ
แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า
เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า
เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์
เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้า
ในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี
บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ
คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น
ละความตระหนี่มีสุข
******************
...ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข
หากมาจากการก่อกรรม
บุญนั้นจึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้
หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว
การทำบุญนี้จุดแรกในการทำ
ก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่
รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น
ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย
เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน
อย่าเอาเปรียบเทวดา
*******************
...ในการทำบุญ
สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์
เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล
ทำให้จิตใจเบิกบานดีนี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน
ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น
มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา
ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง
การทำบุญแบบนี้เรียกว่า
ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ
บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล
ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบ
ในการทำของมนุษย์แต่ละคน
เขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง
อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใคร
และของเรื่องราวนั้นๆ
กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น
ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย
บุญบริสุทธิ์
**********
...การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น
ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่หนึ่ง
จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ
แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ
ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ
เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว
ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า
ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน
สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน
--------------------------------------------------------------------------------
สั่งสมบารมี
**********
...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว
การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิต
ให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นเป็นบารมีอย่างหนึ่ง
ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม
เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน
เมตตาบารมี
***********
...การทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี
หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี
และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น
ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้
ให้สักแต่ว่าให้เขาท่านก็ย่อมได้กุศล
เรียกว่าไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่า
การบำเพ็ญเมตตาบารมีในภาวนาบารมีนั้น
ได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน
แผ่เมตตาจิต
***********
...ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น
เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่
แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม
หรือกายกรรมที่เป็นรูป
การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า
เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง
ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง
ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส
สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย
ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น
เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า
อานิสงส์การแผ่เมตตา
********************
...ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา
คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเรา
แต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิต
และวิญญาณกระจายออกไป
เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์
เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน
เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา
เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร
คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา
หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆ
ก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา
แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน
สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้
เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง
ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา
เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร
เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต
วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น
จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป
ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
จิตแน่วแน่แล้ว
โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป
ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว
คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย
หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว
ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้
หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้
ประโยชน์จากการฝึกจิต
**********************
...ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน
เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น
ปัญญานี้เรียกว่า
ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ
ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน
เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลา
อันยาวนานข้างหน้า
นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว
คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย
เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว
ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน
เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง
กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย
โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น
ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ
จะผ่อนคลายเป็นปกติ
โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดย
เฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง
หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น