Wlecom To Blog Kru Ploy Na Ka

หน้าเว็บ


ขอฝากจากตลาดคลองสาน 100 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติศาสตร์อียิปต์.........ว่าด้วยเรื่อง"มัมมี่"








อันดับแรกเราก็มารู้ถึงความหมายของมัมมี่กันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ไม่สงสัยกันไงคะ ว่าทำไมเค้าถึงเรียกกันว่า "Mummy"

"Mummy" เป็นภาษาอารบิกค่ะ ที่เรียกอย่างนี้ มันก้ต้องมีที่มาที่ไปใช่มั้ยคะ มันจะผุดมาเองไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องราวมันมีอยู่ว่า

ราวๆ ค.ศ 12 มีพ่อค้าชาวอาหรับคนหนึ่ง ซึ่งต้องจำชื่อไม่ได้ค่ะ ได้เดินทางเข้ามาในอียิปต์ ทีนี้พอเขาทราบว่าขบวนการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยจะต้องใช้ "บีทูมิน" อันเป็นตัวการทำให้ศพเปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลดำๆค่ะ เลยเรียก ขบวนการนี้ว่า "มัมมี่" ซึ่งมาจากคำว่า "มัมมิยะ" ในภาษาอารบิกซึ่งแปลว่า "บีทูมิน" นั่นเองค่ะ เจ้า"บีทูมิน" ตัวนี้น่ะ เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง (น้ำมันดิน ) สีจะออกน้ำตาลเข้มๆจนจะดำแล้วแหละค่ะ คนสมัยก่อนมักจะนำเอามาอุดรอยรั่วตามสิ่งของต่างๆค่ะ

ทีนี้ต้องจะเล่าเรื่อง"การทำมัมมี่" อย่างย่อๆให้ฟังก่อนนะคะ แล้วคราวหน้าจะเอาประวัติของมัมมี่ว่ามีมาตั้งแต่สมัยไหนมาเล่า พร้อมรูปภาพค่ะ

กระบวนการทำมัมมี่ จะเริ่มจาก "การเอาสมองออก" ก่อนค่ะ คิดแล้วก็ งงๆ มั้ยคะ ว่ามันเอาออกยังไงหว่า ไม่ได้ผ่ากะโหลกด้วยนะ ขั้นตอนมันก็มีอยู่ว่า เค้าจะเอาตะขอยาวๆที่ทำมาจากทองสัมฤทธิ์ทะลวงเกี่ยวเข้าไปทางโพรงจมูกค่ะ คือ ทางรูมูกและรูที่อยู่ตรงฐานของกะโหลกศีรษะ บริเวณที่เชื่อมต่อกับกระดูกสันหลัง แล้วก็บิดตดขอ เพื่อคว้านสมอง (แว๊กกกกกก น่ากลัวค่ะ ตรงนี้) คว้านจนสมองแหลกเหลวเลยนะคะ แล้วก็ดึงออกมาทางรูจมูกจนหมดเกลี้ยง แล้วก็เอาของเหลวที่ร้อนๆข้นๆเข้าไปแทนที่ แล้วก็รอให้มันเย็นตัวลงเองค่ะ

ขั้นตอนต่อมา ก็จะเป็นการนำเอาอวัยวะภายในออกมา โดยจะใช้มีดเอาที่คมๆหน่อยนะคะ กรีดทางด้านซ้าย ให้เป็นแนวยาว แล้วลากเอาเครื่องในออกให้หมด ยกเว้นหัวใจค่ะ เพราะเค้าเชือ่กันว่า หัวใจเป็นตัวที่ควบคุมทั้งทักษะและอารมณ์ของมนุษย์ค่ะ ส่วนอย่างอื่นก็เอาออกมาล้างๆๆทำความสะอาด แล้วก็ห่อด้วยผ้าลินินก่อนจะนำไปบรรจุใส่ในโถซึ่งจะมี 4 โถค่ะ หัวโถจะเป็นรูป4ชนิดค่ะ คือ คน ลิง หมา และเหยี่ยว ซึ่งคล้ายๆเอาไว้คุ้มครองมัมมี่นั้นๆไงคะ

ส่วนร่างกายที่เหลือแต่หัวใจเค้าก็จะเย็บเอาไว้และ ก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษาสภาพศพค่ะ ซึ่งหลังจากที่ทำความสะอาดภายในช่องท้อง ช่องปากจนสะอาดดีแล้ว เค้าก็จะเอา"เนตรอน"ที่มีรสเค็มเหมือนเกลือ ใส่เข้าไปจนเต็ม มีสรรพคุณคือ ดูดซับน้ำหรือของเหลวต่างๆในร่างกาย และยังยับยั้งเชื้อรา แถมทำลายแบคทีเรียด้วยค่ะ โดยจะมีการเปลี่ยนทุกๆ 2-3 วัน ราวๆ 40-70 วันน่ะค่ะ คือรอจนศพแห้งสนิท เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกค่ะ แถมยังเป้นสีน้ำตาลดำๆอีกต่างหาก แต่พวกเส้นผมอะไรจำพวกนี้จะเหมือนเดิมค่ะ แต่เค้าก้มีพวกที่คอยแต่งศพด้วยนะคะ จะได้สวยๆไม่น่าเกลียดเท่าไหร่นัก

ก่อนที่จะพันศพนี่จะต้องเอาขี้เลื่อย หรือโคลน หรือ อะไรก็ตามใส่เข้าไปในช่องอกและหน้าท้องศพก่อนด้วยค่ะ เพื่อให้ร่างกายยังเหมือนมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นก็จะชะโลมด้วยน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้ผิวดูมีน้ำมีนวล ส่วนดวงตาทั้งสองข้างก็จะควักออกมา แล้วเอาลูกแก้ว หรืออาจจะปั้นอะไรกลมๆ ใส่เข้าไปแทนก็ได้ค่ะ ตามแต่ฐานะของแต่ละบุคคลจะอำนวย แล้วก็ดึงเปลือกตาลงมาปิดให้เหมือนกับนอนอยู่ จมูกกับปากก็เอาผ้ายัดเข้าไป นอกจากนี้ก้ยังมีการชะโลมร่างกายด้วยยางไม้อันเป็นการรักษาสภาพศพด้วยค่ะ

ขั้นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ คือ การห่อผ้าพันศพ แหละค่ะ ส่วนมากจะเริ่มจากการพันสิ่งเล็กๆน้อยๆก่อน เช่นนิ้ว ก็จะพันจากปลายนิ้ว แต่ละนิ้วไปเรื่อยๆขึ้นมาจนถึงมือ แขน นิ้วเท้าก็เช่นกันค่ะ พันขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็ถึงลำตัว และ ใบหน้าซึ่งส่วนนี้จะต้องเอาผ้ามัสลินปิดหลายๆชั้นหน่อยค่ะ ก่อนที่จะทำการพันรอบศีรษะ ต้องพันดีๆแน่นๆด้วยค่ะ ไม่อย่างนั้น สภาพศพอาจจะถูกทำลายได้ง่ายย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น